แม่หญิงปรุงยามือปราบกับลูกลิงทั้งสอง นิยาย บท 131

ลั่วเสี่ยวปิงอยากถามคำถาม แต่ฉีเทียนเห้าก็พูดออกมาหนึ่งประโยค “เอาเถอะ มีข้าอยู่ เจ้าไม่ต้องห่วงเรื่องพวกนี้ ไปนอนเถอะ”

หลังจากพูดแล้ว ฉีเทียนเห้าก็นอนลง ท่าทางไม่ต้องการพูดอะไรมากไปกว่านี้

เมื่อเห็นอย่างนี้ลั่วเสี่ยวปิงจึงได้แต่ต้องยอมแพ้ คำพูดที่ว่า “มีข้าอยู่” ก็ทำให้นางรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก

อาจจะเป็นเพราะประโยคนั้น หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะรู้ว่ามาร์ควิสแห่งกวงอันไม่มีทางแก้แค้นพวกเขา อารมณ์ของลั่วเสี่ยวปิงก็ผ่อนคลายลงและนางก็ผล็อยหลับไปในเวลาไม่นาน

หลังจากลมหายใจของลั่วเสี่ยวปิงคงที่ ฉีเทียนเห้าก็ลุกขึ้นจากเตียง แล้วออกจากห้องไปเงียบๆและหายเข้าไปในความมืด

ราตรี ดึกไปทุกที

ในเวลานี้ ในจวนมาร์ควิสแห่งกวงอันก็เต็มไปด้วยคาวเลือดเช่นเคย

หลังจากที่มู่กุ้ยผิงตกตะลึง ปมในใจยากจะคลี่คลาย เมื่อกลับมาถึงจวนมาร์ควิสก็ไม่ได้สนใจขันทีมากนัก จึงเรียกสาวใช้ในจวนเข้ามาเล่นสนุกในเรือนตัวเอง

ยิ่งเหล่าสาวใช้กรีดร้องและร้องขอความเมตตามากเท่าไร มู่กุ้ยผิงก็ยิ่งตื่นเต้นมากขึ้นเท่านั้น

ระหว่างนั้นมีสาวใช้ชนเสาฆ่าตัวตายเพราะทนกับความอัปยศไม่ไหว และยังตายเพราะความอำมหิตเกินไปของมู่กุ้ยผิง ทั้งบ้านเต็มไปด้วยกลิ่นอายคาวเลือด หลังจากมู่กุ้ยผิงเล่นจนเหนื่อยก็ให้ลูกน้องโยนผู้หญิงที่ครึ่งเป็นครึ่งตายหรือตายแล้วพวกนั้นออกไป หลังจากทำความสะอาดแล้วกลิ่นคาวเลือดในห้องก็ยังไม่จางหายไป

แต่อารมณ์ของมู่กุ้ยผิงก็ดีขึ้นมากเพราะการปลดปล่อยครั้งนี้ เมื่ออารมณ์ดีขึ้น ก็ง่วงนอนขึ้นมาทันที

หลังจากหลับไปได้สักครู่ไม่นาน จู่ๆในความฝันของมู่กุ้ยผิงก็รู้สึกถึงความรู้สึกกดดันที่แรงกล้า

ความรู้สึกกดดันนี้ทำให้มู่กุ้ยผิงแทบจะหายใจไม่ออก เขาสะดุ้งตื่นขึ้นทันที

ทันทีที่เขาลืมตา มู่กุ้ยผิงก็เห็นใบหน้าสวมหน้ากากเยือกเย็นที่เขาเกลียดเข้ากระดูกดำ

“เจ้า…”

มู่กุ้ยผิงตกใจและโมโหมาก เขากำลังจะเอ่ยปากพูด แต่ก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงของชายที่อยู่ตรงข้าม

“ข้าพาเจ้ามาที่นี่เพื่ออะไร เจ้าลืมแล้วหรือ?”

น้ำเสียงเย็นชาที่ปราศจากอารมณ์ดังขึ้นราวกับฝันร้าย โจมตีหัวใจของมู่กุ้ยผิงโดยตรง

เสียงนี้…หรือว่า…

ไม่มีทาง!

มู่กุ้ยผิงอยากจะปฎิเสธในสิ่งที่ตัวเองคิด แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้างด้วยความสยดสยองมองไปยังฉีเทียนเห้า

“เจ้า…เจ้าคือ…” เสียงของมู่กุ้ยผิงสั่นเทา ปราศจากความเย่อหยิ่งตามวิสัยปกติ

การคาดเดาในใจทั้งหมดของเขา แต่มู่กุ้ยผิงไม่กล้าเอ่ยปากตอบคำถามนั้นเป็นเวลานาน ราวกับว่าถ้าเขาไม่พูด ทุกอย่างตรงหน้าเขาก็คงจะไม่มีอยู่จริง

ในขณะนั้น ความหวาดกลัวแบบจับใจของมู่กุ้ยผิงไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนถึงแม้ว่าจะเป็นตอนที่เขาเกือบจะถูกตัดสินลงโทษในศาล

ไม่ ไม่มีทาง เขาตายแล้ว!

มู่กุ้ยผิงบอกตัวเองแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

แต่ดวงตาคู่นั้นไม่กล้าละออกจากใบหน้าที่สวมหน้ากากนั้น ดวงตาที่น่ากลัวนั้นกลับเปิดโปงเขาออกไปหมด

ราวกับว่ามองออกสิ่งที่มู่กุ้ยผิงกำลังคิด ฉีเทียนเห้าค่อยๆยกมือขึ้นและถอดหน้ากากบนใบหน้าออก เผยให้เห็นใบหน้าที่มีรอยแผลเป็น แต่ก็ยังเป็นใบหน้าที่รู้ได้

สรุปได้ว่า คนที่คุ้นเคยกับเขาไม่มีทางที่จะจำผิดคน

“ตุบ”เสียงมู่กุ้ยผิงคุกเข่าลงบนพื้นด้วยความตกใจ หน้าซีด ริมฝีปากสั่นเทา

ใบหน้านั้นแม้จะถูกทำลายไปแล้ว แต่ครึ่งหนึ่งของใบหน้าที่ยังไม่ถูกทำลาย ยังคงเป็นฝันร้ายของเขา

หากในโลกนี้ยังมีคนที่เขาหวาดกลัว คนนั้นก็คนที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้

ถ้าหากไม่ใช่เขา เขาก็คงจะไม่ถูกริดรอนอำนาจที่แท้จริง และก็คงจะไม่ถูกส่งให้มาที่นี่

“คารวะ…คารวะอ๋องเซ่อเจิ้ง” ลิ้นของมู่กุ้ยผิงพันกันเล็กน้อย ในใจเขาตื่นตระหนก

มุมปากของฉีเทียนเห้ายกขึ้นอย่างเย็นชา “มู่กุ้ยผิง ไม่เจอกันหลายปี กล้าแล้วหรือ?”

เสียงของฉีเทียนเห้า ราวกับทูตเกี่ยววิญญาณจากยมโลก เยือกเย็นจนทำให้ผู้คนหวาดกลัว

“ไม่…ข้า…กระหม่อม ถูกใส่ร้าย มีคนปลอมตัวเป็นกระหม่อม” มู่กุ้ยผิงอธิบาย

ตกอยู่ในมือใครก็ได้แต่จะตกอยู่ในมือฉีเทียนเห้าไม่ได้ เพราะอาจจะไม่ตาย แต่จะอนาถยิ่งกว่าตาย

น่าหวาดกลัว!

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: แม่หญิงปรุงยามือปราบกับลูกลิงทั้งสอง