ดอกหญ้าสีคราม นิยาย บท 33

สุดท้ายกิ๊ฟเก๋ก็ถูกพี่สะใภ้เธอรับกลับไป ส่วนรถสปอร์ตคันนั้นที่ถูกชนจนพัง ก็ทำได้แค่โทรเรียกคนมาลากไป

ตอนที่ถูกพี่สะใภ้รับตัวไป กิ๊ฟเก๋ยังบอกพี่สะใภ้ด้วยว่า “สีครามชนรถฉันพัง เป็นข้ออ้างให้ฉันมาเกาะติดเขาพอดี พี่สะใภ้ ไหนๆ ฉันก็ก้าวออกไปแล้วหนึ่งก้าว ถ้าไม่เดินหน้าต่อไปแบบหนักแน่น ไม่จีบสีครามสามถึงห้าปี ฉันไม่ยอมหรอกนะ”

“พี่สะใภ้ พี่ดีกับฉันมากที่สุด พี่ของฉันเชื่อฟังคำพูดพี่มากที่สุด พี่ช่วยฉันพูดขอร้องกับพี่ฉันหน่อยสิ ว่าอย่ามาก้าวก่ายสิทธิในการแสวงหาความสุขของฉัน”

กิ๊ฟเก๋อิจฉาความรักของพี่ชายกับพี่สะใภ้มาก ตอนนั้นพี่สะใภ้ก็เป็นคนจีบพี่ก่อน ใช้เวลาหนึ่งปีในการจีบพี่ชายเธอ กลับกันพอหลังจากแต่งงานกันแล้ว พี่ชายเธอก็โปรดปรานพี่สะใภ้สุดหัวใจ

พี่สะใภ้บอกเธอหลายครั้ง ถ้าตอนนั้นไม่แสวงหารักที่แท้จริงอย่างห้าวหาญ ก็คงไม่มีชีวิตอันแสนสุขเฉกเช่นวันนี้

คุณกันตาขับรถพลางพูดขึ้น “กิ๊ฟเก๋ พี่สนับสนุนให้เธอแสวงหาความสุขของตัวเอง แต่นั่นสีคราม สีครามมีชื่อเสียงแบบไหนในจังหวัดนรารีของเรา? โด่งดังในเรื่องไม่สนใจผู้หญิง เธอเคยเห็นข้างกายเขามีสาวๆ ไหม?”

“อีกอย่างไชยราชกรุ๊ปของเรากับจีรภักดีกรุ๊ปก็ไม่ถูกกัน พี่ชายเธอกับสีครามไม่เชิงเป็นศัตรูกัน แต่ก็เป็นคู่แข่ง เป็นประเภทที่ว่าไม่อยากเห็นใครได้ดีไปกว่ากัน ความสัมพันธ์แบบคู่แข่ง พี่กลัวว่าเธอจะถูกสีครามหลอกใช้ กลัวว่าเธอจะถูกสีครามปฏิบัติแย่ๆ ใส่”

“เขาไม่ปฏิบัติแย่กับภรรยาเขาหรอกมั้งคะ? กฎระเบียบตระกูลจีรศักดีของพวกเขาดีขนาดนั้น ผู้ชายในตระกูลจีรศักดีก็มีชื่อเสียงเรื่องรักและโปรดปรานภรรยาเหมือนกันนะคะ”

กิ๊ฟเก๋เห็นความรักของพี่ชายกับพี่สะใภ้กับตา คาดหวังโดยธรรมชาติอยู่แล้วว่าหลังจากตนแต่งงาน ก็จะได้รับความรักอันลึกซึ้งจากสามี

ในแวดวงสังคมชนชั้นสูงในจังหวัดนรารี ถือว่าผู้ชายในตระกูลจีรศักดีมีชื่อเสียงเรื่องรักและโปรดปรานภรรยามากที่สุด

“ไม่ว่ายังไงก็ตาม พี่ชายเธอก็หวังดีกับเธอนั่นแหละ กิ๊ฟเก๋ ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว แม่รอเราอยู่ที่ร้านแอร์เมส ไปชอปปิ้งเป็นเพื่อนแม่ก่อน ผ่อนคลายอารมณ์สักหน่อย สองสามวันนี้แม่เธออารมณ์หดหู่มากเลยเพราะเรื่องน้าเธอ”

กิ๊ฟเก๋เม้มปาก พูดขึ้น “แม่กับน้าแยกจากกันหลายสิบปีแล้ว ไม่รู้ว่าน้าถูกส่งต่อไปให้ใครบ้าง บางทีรูปนั้นอาจจะไม่สามารถเก็บรักษาไว้ได้ อยากตามหาน้า มันเหมือนงมเข็มในมหาสมุทรเลย”

“ยังไงก็ต้องตามหาดู”

กิ๊ฟเก๋ไม่พูดอะไรแล้ว

คุณแม่แค่ปรารถนาแบบนี้ พวกเขาในฐานะลูกชายลูกสาว ยังไงก็ต้องช่วยคุณแม่ทำความปรารถนานี้ให้เป็นจริง

ดอกหญ้าไม่รู้เลยว่าตัวเองมีศัตรูหัวใจ เธอทำงานในร้านทั้งวัน ปิดร้านตอนห้าทุ่มตามปกติ จากนั้นก็ขี่จักรยานไฟฟ้าของเธอกลับบ้าน

จังหวัดนรารีเป็นเมืองขนาดใหญ่ที่เจริญรุ่งเรือง ถึงแม้จะดึกดื่นห้าทุ่มแล้ว บนถนนก็ยังมีคนจำนวนไม่น้อยเดินอยู่ แผงร้านอาหารขนาดใหญ่ริมถนนก็มีคนจำนวนมากดื่มเหล้ากินบาร์บีคิวกัน ครึกครื้นอย่างยิ่ง

ดอกหญ้าขี่จักรยานไฟฟ้าผ่านหน้าแผงร้านอาหารขนาดใหญ่เหล่านั้น มีพวกวัยรุ่นเห็นเธอ ก็ผิวปากแซวใส่เธอ เธอทำเป็นหูซ้ายทะลุหูขวา ขี้เกียจสนใจคนพวกนี้

เมื่อถึงสี่แยกไฟจราจร เป็นไฟแดงพอดี เธอจึงจอดรถ

หลังจากไฟแดงกลายเป็นเขียว เธอก็เคลื่อนรถอีกครั้ง เพิ่งข้ามสี่แยกไฟจราจร จู่ๆ รถก็ไม่ขยับ เธอนึกว่าแบตหมด แต่เห็นว่าแบตยังเต็มอยู่เลยนี่หน่า ทำไมไม่ขยับล่ะ?

ดอกหญ้าลองอยู่สองสามครั้ง รถก็ไม่ขยับ

แปลกจัง เพราะอะไรกัน?

“พี่หญ้า พี่จริงๆ ด้วย? เมื่อกี้ผมเห็นหลังพี่คุ้นมาก นึกว่าผมตาฝาดซะอีก”

รถคันหนึ่งจอดข้างๆ ดอกหญ้า คนบนรถลดกระจกรถลง ดอกหญ้าเห็นว่าเป็นนาวีน้องชายเพื่อนสนิท

“วี”

ดอกหญ้าตอบกลับเขา แล้วพูดขึ้น “ไม่รู้เกิดอะไรขึ้นกับรถฉัน จู่ๆ มันก็ไม่ขยับ แบตยังเต็มอยู่เลยนะ”

“พี่หญ้า พี่รอเดี๋ยว ผมจอดรถข้างถนนก่อน จะได้ไม่ขวางทางคนอื่น”

ขณะที่พูดนาวีก็จับรถไปจอดข้างถนน ก่อนจะลงรถเดินมาช่วยดอกหญ้าดู แล้วกล่าวอย่างรู้สึกผิด “พี่หญ้า ผมไม่รู้เรื่องซ่อมรถ ไม่รู้เหมือนกันว่ารถพี่มีปัญหาอะไร เอางี้ ผมช่วยพี่โทรเรียกคนมาลากมันไปซ่อมดู แล้วพี่นั่งรถผมกลับบ้านก่อนไหม?”

ดอกหญ้าถามเขา “นายรู้เหรอว่าแถวนี้มีร้านซ่อมจักรยานไฟฟ้า?”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ดอกหญ้าสีคราม