คู่แฝดคู่ป่วน นิยาย บท 54

งานเลี้ยงวันนี้หานเฟิ่งฮวาองค์หญิงแห่งแคว้นหานไม่ได้มาเข้าร่วมด้วย เนื่องจากอาการป่วยที่เกิดจากการแพ้อาหาร วันนี้จึงมีเพียงแค่องค์รัชทายาทหานเฟิ่งอวี่ที่เสด็จมาร่วมงานเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น

องค์หญิงสี่หนิงลี่เฟยเป็นครั้งแรกที่ได้พบพระพักตร์ขององค์รัชทายาทหานเฟิ่งอวี่ก็รู้สึกสนใจไม่น้อย เขามีรูปร่างสูงใหญ่พอประมาณใบหน้าหล่อเหลาคมคายนับว่าถูกใจไม่น้อย พี่ชายบอกว่างานเลี้ยงคืนนี้ตนต้องเข้าไปทำความรู้จักและทำให้องค์รัชทายาทพึงพอใจให้ได้ และวันนี้เหมือนสวรรค์เปิดทางให้เมื่อองค์หญิงที่หวงแหนพี่ชายไม่มาร่วมงาน หนิงลี่เฟยส่งสายตาหวานพร้อมรอยยิ้มปนเขินอายไปให้องค์รัชทายาทหานเฟิ่งอวี่ที่นั่งอยู่ไม่ไกลจากที่นั่งของตนเอง และดูเหมือนว่าเขาก็ส่งยิ้มกลับมาให้เดียวเช่นกัน

สนมมู่กุ้ยเฟยเห็นธิดาของตนส่งสายตาหวานเยิ้มไปให้องค์รัชทายาทหานเฟิ่งอวี่ บุรุษที่จะทำให้ธิดาของตนเองได้ขึ้นอยู่เหนือสตรีทุกคนก็ยกยิ้มอย่างพึงพอใจ อย่างน้อยงานนี้ถ้าเกิดเรื่องราวบางอย่างขึ้นจะไม่ทำให้ธิดาของตนเองโกรธมากนัก

การแสดงภายในงานก็เริ่มขึ้นอย่างคึกครื้นการแสดงร่ายรำโดยมีองค์หญิงห้าเป็นผู้ร่ายรำร่วมด้วยในวันนี้ ส่วนการแสดงกู่เจิงของจิวอิงนั้นจะเริ่มตอนท้ายของการแสดง ตอนนี้จึงมีเวลานั่งชมและดื่มด่ำกับรสอาหารอันแสนโอชะตรงหน้า เมื่อนึกถึงอาหารก็พลันให้คิดถึงน้องสาวตัวแสบของตนเอง ไม่รู้ว่าป่านนี้กำลังทำอะไรอยู่จิวอิงแอบกังวลเรื่องความปลอดภัยของน้องสาวอยู่ไม่น้อยเช่นกัน

งานวันนี้ไม่มีใครเอ่ยถึงท่านแม่ทัพใหญ่และครอบครัวท่านเสนาบดีไป๋ด้วยเหล่าขุนนางเป็นที่รู้ดีว่าเกิดเหตุใดขึ้น มีเพียงชาวบ้านด้านนอกเท่านั้นที่ยังไม่รู้เรื่องวุ่นวายภายในวังหลวงแห่งนี้ การปิดข่าวของทางราชสำนักนับว่าเป็นที่น่าพึงพอใจอย่างยิ่ง

และดูเหมือนสตรีหน้าดำอย่างหมิงจิวอิงก็ถูกผู้คนลืมเลือนด้วยเช่นกัน เพราะไม่เป็นที่ให้ความสนใจแก่ผู้คนนัก จะมีก็แต่ซูหลวนซานที่เป็นท่านลุงแท้ๆเพียงเท่านั้นที่คอยสอดส่ายสายตามอง ซูหลวนซานคิดว่าสตรีงดงามที่มาร่วมงานนั้นเป็นเย่วซิน เพราะหลานสาวเคยกล่าวเอาไว้ว่าเป็นจิวอิงที่ทาหน้าดำ แต่ก็ให้กระจ่างเมื่อคุณชายเย่วเทียนมาบอกว่าคนที่มาร่วมงานวันนี้เป็นจิวอิงและเย่วซินไม่ได้มาร่วมงานเพราะว่าติดงานสำคัญบางอย่าง

การแสดงร่ายรำจบลงจากนั้นฮ่องเต้และเหล่าราชทูตของแต่ละแคว้นร่วมพูดคุยและชมสินค้าขึ้นชื่อต่างๆที่จัดเรียงแยกส่วนเอาไว้อย่างสวยงาม เย่วฉีทำหน้าที่เป็นล่ามภาษาได้ดีเยี่ยมแม้มีบางคำที่เขายังไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่ได้กระทบแต่อย่างใดเพราะเย่วฉีเอ่ยบอกแก่ชาวอิงแลนด์เอาไว้แล้วว่าเขาพูดได้นิดหน่อยไม่ได้เก่งมาก แต่คนที่เก่งมากคือน้องสาวของเขาต่างหาก ชาวอิงแลนด์ก็เข้าใจถ้าบางคำที่เย่วฉีแปลไม่ได้เขาก็จะผ่านไป เพราะวันนี้เป็นเพียงการเยี่ยมชมสินค้าเพียงเท่านั้นยังไม่ได้คุยหรือตกลงการค้าสำคัญกันแต่อย่างใด ชาวอิงแลนด์คงต้องรอให้ล่ามภาษาของเขาหายป่วยเสียก่อนถึงจะคุยเรื่องการค้าอีกครั้งหนึ่ง

หลังจากองค์ฮ่องเต้ เหล่าองค์ชายและทางราชทูตเดินเยี่ยมชมสินค้าเรียบร้อยก็กลับเข้านั่งประจำที่และร่วมยกจอกดื่มสุราเพื่อกระชับความสัมพันธ์ทางการค้า หานเฟิ่งอวี่รับจอกสุราจากนางกำนัลที่คอยรินสุราให้ ครั้งแรกที่ได้ลิ้มลองเขาก็รู้ทันทีว่าสุรานั้นร้อนแรงมากดื่มเข้าไปเพียงแค่สองจอกก็เริ่มมึนเมานิดหน่อย ยังดีที่เขาคอแข็งไม่เช่นนั้นสองจอกที่ดื่มก่อนหน้านั้นคงได้คอพับเป็นแน่

หลังจากที่หานเฟิ่งอวี่ดื่มจอกที่สามเข้าไปก็เริ่มตาลายนั่งโงนเงนไม่ตรง สนมกุ้ยเฟยสังเกตอาการขององค์รัชทายาทแห่งแคว้นหานมาโดยตลอด เห็นว่าทุกอย่างราบรื่นเป็นไปตามแผนที่วางเอาไว้ก็ยกยิ้มมุมปาก พลางหันไปสั่งนางกำนัลคนสนิท จากนั้นสนมมู่กุ้ยเฟยก็เชื้อเชิญให้ธิดาของตนลองจิบสุราดอกท้อที่รสชาติละมุนลิ้น หนิงลี่เฟยไม่คิดขัดมารดารับจอกสุรามาดื่มอย่างว่าง่ายและเมื่อดื่มเข้าไปแล้วก็พบว่ารสชาติดีเยี่ยมอย่างที่มารดาได้กล่าวเอาจึงเผลอดื่มเข้าไปเสียหลายจอก

นางกำนัลคนสนิทของสนมมู่กุ้ยเฟยมาแจ้งแก่องค์ชายรองเหล่ยหลงว่าถ้าสหายของตนเมามายจนไม่สามารถครองสติกลับที่พักได้ ก็ให้เข้าพักที่ห้องรับรองในตำหนักของตนก่อน ถ้าสร่างเมาค่อยให้เขาเดินทางกลับตำหนักที่พักของแคว้นหานเพื่อความปลอดภัย หนิงเหล่ยหลงพยักหน้ารับรู้ไปให้มารดาและมองไปยังสหายที่ตอนนี้ใบหน้าเริ่มแดงจัดและนั่งโงนเงน หนิงเหล่ยหลงยังนึกแปลกใจสหายของตนคอแข็งยิ่งนักเหตุใดถึงได้เมามายง่ายดายเช่นนี้หรือว่าเขาจะดื่มเข้าไปเสียมากเกินจำนวน

งานเลี้ยงดำเนินไปได้ระยะหนึ่งหนิงเหล่ยหลงจึงลุกขึ้นจากที่นั่งของตนเดินมายังสหายที่นั่งออกไปไม่ห่างนัก จากนั้นก็ให้องค์รักษ์ของตนช่วยพยุงสหายไปยังห้องรับรองภายในตำนัก และบอกกล่าวกับผู้ติดตามให้อยู่ร่วมงานต่อไม่ต้องกังวลเรื่ององค์รัชทายาทหานเฟิ่งอวี่ตนจะดูแลเป็นอย่างดี ทั้งหมดรับรู้และคลายกังวลเพราะองค์ชายผู้นี้คือสหายคนสนิทขององค์รัชทายาทของพวกตน

จิวอิงได้ถูกเชิญตัวไปมายังด้านหลังของลานแสดงเพื่อเตรียมตัวแสดงชุดต่อไป วันนี้จิวอิงตั้งใจดีดกู่เจิงเป็นเพลงที่น้องสาวเป็นผู้สอน จิวอิงยอมรับว่าเพลงของเย่วซินนั้นไพเราะจับใจยิ่งนัก นางสอนร้องเพลง และให้จับจังหวะการเป่าขลุ่ยของนาง ให้ลองดีดกู่เจิงเป็นท่วงทำนองเดียวกัน จิวอิงฟังและจับจังหวะอยู่หลายครั้งซักซ้อมเล่นอยู่หลายวันกว่าจะดีดกู่เจิงได้ไพเราะและเข้ากับเสียงขลุ่ยของเย่วซิน

ไม่เพียงแต่สอนให้ดีดกู่เจิงเพียงเท่านั้นน้องสาวตัวแสบยังคะยั้นคะยอให้นางร้องเพลงตามอีกด้วยพร้อมกับบรรยายเกี่ยวกับเนื้อเพลงว่ามันหมายถึงอะไร ตลอดหลายวันที่น้องสาวตัวแสบโดนกักบริเวณคงมีเวลาว่างมากจึงสอนตนจนสำเร็จเป้าหมาย ตอนนี้ตนดีดกู่เจิงบทเพลงของน้องสาวได้คล่องแคล่วไม่เพียงแต่ภาษาที่เย่วซินสอน น้องสาวคนนี้ยังให้นางคิดดัดแปลงเป็นภาษาของทางแคว้นอีกด้วย นั่นไม่ใช่ปัญหาของจิวอิงผู้ชื่นชอบการแต่งบทเพลงเลยสักนิด เพราะน้องสาวตัวแสบบรรยายเกี่ยวกับเนื้อร้องเสียระเอียดยิบเสียขนาดนั้น

จิวอิงสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆหนึ่งครั้งจากนั้นก็ก้าวเท้าขึ้นบนลานแสดง ร่างบางระหงใบหน้างามล้ำปานล่มแคว้นเรียกสายตาจากเบื้องล่างได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะบุรุษที่จับจ้องเมียงมองตั้งแต่ร่างบางเดินเข้างานมา หนิงหยางหลงปล่อยแรงกดดันออกมาอย่างไม่รู้ตัวเมื่อเห็นสายตาของบุรุษทั้งหลายในงานต่างจับจ้องสตรีของตน

“พี่ชายใจเย็นๆสตรีงดงามย่อมเป็นที่ต้องตาของบุรุษเป็นเรื่องธรรมดา” หยางปิงเอ่ยเตือนพี่ชายของตน เขานั่งใกล้พี่ชายจึงรู้สึกถึงแรงกดดันที่พี่ชายคนนี้เผลอปล่อยออกมา

“หุบปากเจ้าไปเลยถ้าเป็นสตรีของเจ้าบ้างยังจะใจเย็นได้อยู่หรือ?” หยางหลงยังทำเสียงเข้มเอ่ยกับน้องชายแต่สายตายังไม่ละจากร่างบาง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: คู่แฝดคู่ป่วน