มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2815

การผนึกรวมของกงล้อเทพไร้ลักษณ์ทำให้หลัวซิวรู้สึกพึงพอใจมาก ตั้งแต่โบราณกาลมานี่เป็นรูปแบบระบบการฝึกตนที่ถูกทำให้คงที่แล้ว ซึ่งเขาได้ริเริ่มรูปแบบใหม่ ครั้นเมื่อริเริ่มวิถีไร้ลักษณ์ในแดนมกุฎเทพ เขาก็ได้เดินบนเส้นทางวิถียุทธ์ที่เป็นของตัวเขาเองแล้ว

หลังจากกงล้อเทพปรากฏ ความเร็วในการฝึกตนของหลัวซิวก็รวดเร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด กงล้อเทพไร้ลักษณ์ลอยอยู่หลังศีรษะ ทุกครั้งที่หมุนหนึ่งรอบ ก็จะดึงดูดพลังงานเต๋าที่มากมายมหาศาลพุ่งเบียดเสียดกันเข้ามา แล้วมารวมตัวกันในกงล้อเทพ ทำให้พลานุภาพของกงล้อเทพทรงพลังมากยิ่งขึ้น และทำให้ผลการฝึกตนของเขาพัฒนาเร็วขึ้นด้วย

ในขณะเดียวกัน หลัวซิวค้นพบว่าผลการฝึกตนภายในร่างกายตัวเองเกิดการผันแปรแบบพิเศษ 

ในขั้นตอนการฝึกยุทธ์นั้น ผลการฝึกตนของจอมยุทธ์ก็คือพลังที่สะสมอยู่ในร่างกาย ยกตัวอย่างเช่นปราณแท้ในช่วงเริ่มต้น ต่อมาก็แปรเปลี่ยนเป็นชี่จื้อ ก่อนจะเป็นพลังจิตและพลังเทพ 

นี่คือการเพิ่มขึ้นของระดับพลัง ระดับพลังยิ่งสูง พลานุภาพและประโยชน์ที่สามารถปลดปล่อยออกมาได้ก็ต้องยิ่งสูงเป็นธรรมดาอยู่แล้ว 

หลังจากผลการฝึกตนบรรลุถึงเทพมาร ผลการฝึกตนที่ผนึกรวมอยู่ในร่างกายจอมยุทธ์ก็จะถูกเรียกว่าพลังเวทย์ แท้จริงแล้วพลังเวทย์เป็นแนวคิดที่คลุมเครือมาก โดยส่วนใหญ่แล้วจอมยุทธ์ที่ผลการฝึกตนยิ่งสูง ระดับพลังในร่างกายที่ผนึกรวมมาจากผลการฝึกตนก็จะยิ่งสูงด้วย

แม้นผลการฝึกตนของหลัวซิวยังบรรลุไม่ถึงแดนเทพมารระดับเก้า แต่อันที่จริงระดับพลังในร่างกายเขากลับสามารถเทียบทัดราชาเทพระดับเก้าได้โดยสมบูรณ์แล้ว 

ทว่าเมื่อเขาผนึกรวมกงล้อเทพไร้ลักษณ์ออกมา ระดับพลังในร่างกายเขาก็เกิดการผันแปรอีกครั้ง และการผันแปรประเภทนี้กลับทำให้ผลการฝึกตนพลังเวทย์ทั้งหมดที่อยู่ในร่างกายเขาหายไปอย่างแปลกประหลาด!

เมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้ หลัวซิวกลับไม่มีความกังวลเลยแม้แต่น้อย เพราะเขาสามารถสัมผัสได้อยู่ว่าร่างกายของตัวเองเปลี่ยนแปลงไป ผลการฝึกตนพลังเวทย์ภายในร่างกายไม่ได้หายไปอย่างแท้จริง แต่มีเกณฑ์ที่เปลี่ยนจากมีเป็นไม่มีของวิถีไร้ลักษณ์แฝงอยู่

หลังจากผลการฝึกตนพลังเวทย์ทั้งหมดในร่างกายเขาหายไปแล้ว สิ่งที่เข้ามาทดแทนก็คือพลังที่บริสุทธิ์และสูงส่งมากกว่า ซึ่งพลังดังกล่าวได้ไหลเวียนอยู่ระหว่างเส้นลมปราณและเลือดเนื้อในร่างกาย และพลังงานเต๋าที่ตลบฟุ้งอยู่บนภูเขาแหล่งเต๋าที่หนึ่งยิ่งเหมือนคลื่นลูกใหญ่ในแม่น้ำลำคลอง ถูกกงล้อเทพไร้ลักษณ์ดูดซับไปอย่างบ้าคลั่ง แล้วกลายเป็นพลังผลการฝึกตนที่ใหม่เอี่ยมในร่างกายเขา

ดูดซับพลังที่มากมายมหาศาล เมื่อพูดตามหลักการหลัวซิวมีเงื่อนไขที่สามารถบรรลุสู่เทพมารระดับเก้าได้ตั้งนานแล้ว แต่ทว่าเนื่องจากระดับพลังเวทย์ที่ผันแปร ทำให้ผลการฝึกตนของหลัวซิวหยุดอยู่ที่แดนเทพมารระดับแปดขั้นสูงตลอดมา

แดนผลการฝึกตนไม่ได้รับการยกระดับ แต่ว่าเนื่องจากระดับพลังเวทย์ได้รับการยกระดับ ศักยภาพของเขาจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือ 

“นี่คือ……แรงเต๋าแดนมกุฎ?”

เมื่อสัมผัสได้ถึงสภาพร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไป ก็มีรังสีแห่งความตะลึงทะลุออกมาจากใบหน้าหลัวซิวอย่างควบคุมไม่ได้

เริ่มตั้งแต่แดนเทพมาร กระทั่งแดนเทพมารระดับเก้า พลังที่ผนึกรวมอยู่ในร่างกายจอมยุทธ์ล้วนถูกเรียกขานว่าพลังเวทย์ 

แต่เมื่อบรรลุถึงแดนมกุฎเทพระดับเก้า การตระหนักรู้ในวิถีเกณฑ์ของจอมยุทธ์จะบรรลุถึงระดับที่แน่นอน และพลังเวทย์ที่อยู่ในร่างกายก็จะเกิดการแปรเปลี่ยนด้วย กลายเป็นแรงเต๋า และถูกเรียกว่าแรงเต๋าแดนมกุฎเช่นกัน 

มีความทรงจำของอดีตชาติ หลัวซิวจึงต้องคุ้นเคยต่อออร่าของแรงเต๋าแดนมกุฎอยู่แล้ว เขาสามารถยืนยันได้ว่าพลังเวทย์ในร่างกายตนได้รับการยกระดับ แล้วเกิดการเปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นพลังเวทย์ที่แปรเปลี่ยนเป็นแรงเต๋านั่นเอง 

และนี่ก็หมายความว่าระดับพลังของพลังเวทย์เขา บรรลุถึงระดับที่สามารถเทียบทัดผู้แข็งแกร่งมกุฎเทพระดับเก้าได้แล้ว 

ทว่าในขณะเดียวกัน ก็เป็นเพราะผลการฝึกตนของเขาต่ำเกินไปเช่นกัน แรงเต๋าแดนมกุฎที่ผนึกรวมอยู่ในร่างกายจึงมีไม่มากนัก แม้พลังเวทย์ผลการฝึกตนทั้งหมดจะเปลี่ยนเป็นแรงเต๋าแดนมกุฎก็ไม่สามารถเทียบเคียงกับผู้แข็งแกร่งแดนมกุฎเทพระดับเก้าที่แท้จริงได้ 

แต่อย่างไรก็ตามแรงเต๋าแดนมกุฎก็เป็นพลังประเภทหนึ่งที่มีเพียงผู้แข็งแกร่งมกุฎเทพระดับเก้าเท่านั้นถึงสามารถยึดกุมได้ และในฐานะที่ผลการฝึกตนเป็นต้นตอหลักในการกระตุ้นพลังอมตะเคล็ดวิชา ระดับพลังผลการฝึกตนยิ่งสูง พลานุภาพและประสิทธิผลของพลังอมตะเคล็ดวิชาที่ปลดปล่อยออกมาก็ย่อมแข็งแกร่งกว่าอยู่แล้ว  

“ข้านึกไม่ถึงเลยว่าหลังจากผนึกรวมกงล้อเทพออกมาแล้วจะทำให้ผลการฝึกตนขอข้าแปรเปลี่ยนไปด้วย อีกทั้งยึดกุมแรงเต๋าแดนมกุฎ แม้นข้าจักยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมกุฎเทพระดับเก้าอยู่เช่นเคย ทว่าในบรรดาผู้ที่อยู่ต่ำกว่ามกุฎเทพระดับเก้า ผู้ที่เป็นคู่ต่อสู้ของข้ากลับไม่มากแล้ว!”

ศักยภาพที่ยกระดับขึ้นไม่ได้ทำให้หลัวซิวจองหองพองขน เขาเข้าใจดีมาก ๆ ว่าขอบเขตของดาราจักรวาลนี้กว้างใหญ่กว่าที่เขารู้มาก จักรวาลกว้างใหญ่ไพศาล มีอัจฉริยะที่นับไม่ถ้วน ใช่ว่าจะไม่มีอัจฉริยะผู้เก่งกาจที่ปราดเปรื่องกว่าเขาคงอยู่เสมอไป  

“ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ข้าบรรลุหรือ?”

เวลาล่วงเลยไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว มาตรแม้นว่าเป็นพลังงานเต๋าอันเข้มข้นที่ผนึกรวมอยู่บนภูเขาแหล่งเต๋าที่หนึ่ง ก็ต้านทานการดูดซับที่มากมายเช่นนี้เป็นเวลานานไม่ได้ ก่อนที่มันจะค่อย ๆ เบาบางลง 

จากการที่พลังงานเต๋าค่อย ๆ เบาบางลง ความเร็วในการฝึกตนของหลัวซิวก็ช้าลงด้วย ทว่าผลการฝึกตนของเขากลับหยุดอยู่ที่เทพมารระดับแปดขั้นสูงตลอดมา 

หลัวซิวไม่รู้สึกแปลกใจต่อผลลัพธ์นี้ หากพลังผลการฝึกตนของเขาไม่ได้บรรลุถึงระดับของแรงเต๋าแดนมกุฎ เช่นนั้นการที่เขาจะอาศัยภูเขาแหล่งเต๋าที่หนึ่งแล้วทำให้ผลการฝึกตนบรรลุถึงแดนเทพมารระดับเก้านั้น ต้องไม่ใช่ปัญหาอะไรแน่นอน 

ทุกอย่างมีได้ต้องมีเสีย เขาได้รับโอกาสที่ระดับพลังผลการฝึกตนเกิดการยกระดับ แต่ก็สูญเสียโอกาสที่ผลการฝึกตนจะบรรลุถึงเทพมารระดับเก้าเช่นกัน เพราะการยกระดับของระดับพลังผลการฝึกตน กลับทำให้ความฝันที่เขาอยากบรรลุแดนใหญ่ยากลำบากมากยิ่งขึ้น 

สามารถพูดได้อย่างไม่เกรงใจเลยว่าระดับความยากในการบรรลุจากเทพมารระดับแปดขั้นสูงสู่เทพมารระดับเก้าขั้นปฐมภูมิของเขา ไม่ง่ายกว่าจอมยุทธ์คนหนึ่งที่บรรลุจากราชาเทพระดับเก้าสู่มกุฎเทพระดับเก้าแน่นอน!

ความยากในการบรรลุของผลการฝึกตนเป็นปัญหาที่ทำให้หลัวซิวรู้สึกปวดหัวตลอดมา แม้นระดับความยากในการบรรลุของปัจจุบันจะสูง แต่ก็ใช่ว่าจะไร้หนทางเสมอไป แต่ถ้าเกิดสักวันเขาบรรลุถึงแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับเก้า หากเขาต้องการฝึกถึงแดนผู้สูงส่งใหม่อีกครั้ง แล้วระดับความยากในการบรรลุจักสูงถึงขั้นใดกันนะ?

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ