หมอเทวะหัตถาศักดิ์สิทธ นิยาย บท 5

ตอนที่ 5 นั่นคือมายบัคเชียวนะ

ครอบครัวของสวี่ปั้นซย่าอาศัยในเขตชุมชนอานหยาง ซึ่งเป็นชุมชนเก่าแก่ที่ค่อนข้างทรุดโทรมแห่งหนึ่งของเมืองก่วงหยาง สำหรับตระกูลสวี่ในเมืองก่วงหยางแล้ว จัดอยู่ในกลุ่มตระกูลขนาดเล็กที่มีทรัพย์สินไม่ถึงร้อยล้าน เดิมทีสวี่เจี้ยนกงพ่อของสวี่ปั้นซย่าเคยเป็นตัวเต็งที่จะได้ตำแหน่งผู้นำตระกูลสวี่ แต่ทว่า เขาให้กำเนิดลูกสาวถึงสองคน แต่กลับไม่มีลูกชาย จึงทำให้เขาสูญเสียความชอบธรรมในการช่วงชิงตำแหน่งผู้นำตระกูลไป ต่อมา สวี่เจี้ยนผิงน้องชายของสวี่เจี้ยนกงต้องการยื้อแย่งทรัพย์สินตระกูลสวี่ที่อยู่ในมือของสวี่เจี้ยนกงกลับคืนมา เขาฉวยจังหวะที่คุณท่านสวี่ป่วยหนักบีบบังคับให้สวี่ปั้นซย่าที่อยู่ในวัยออกเรือนแต่งลูกเขยเข้าบ้าน โดยอ้างว่าเพื่อเป็นการปัดเป่าเภทภัยให้คุณท่านสวี่ ในเวลานั้น สวี่ปั้นซย่าได้รับการขนานนามว่าเป็นสาวงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองก่วงหยาง เรื่องนี้จึงทำให้ผู้คนแตกตื่นกันไปทั้งเมือง จำนวนของชายหนุ่มที่คิดอยากจะเป็นลูกเขยแต่งเข้านั้นนับกันไม่หวาดไม่ไหวเลยทีเดียว อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุด สวี่ปั้นซย่าได้เลือกคนที่หน้าตาซื่อและไม่มีภูมิหลังทางตระกูลใดๆ อย่างหลินมั่ว นั่นเป็นเพราะว่า สวี่ปั้นซย่าตั้งใจว่าจะไม่ยอมให้ผู้ชายพวกนี้ได้แตะต้องเธอ แน่นอนว่าเธอจะไม่เลือกผู้ชายที่มีความทะเยอทะยานจำพวกนั้นหรอก ตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดก็คือผู้ชายที่ซื่อสัตย์และยอมตามเธอ หลังจากที่สวี่ปั้นซย่าแต่งหลินมั่วเข้าบ้านแล้ว ความเจ็บป่วยของคุณท่านก็หายเป็นปกติจริงๆ แต่ทว่า สวี่เจี้ยนผิงกลับอาศัยโอกาสนี้หาเรื่องสวี่เจี้ยนกง โดยบอกว่าการที่สวี่ปั้นซย่าแต่งงานกับลูกเขยแต่งเข้าจะทำให้ ในอนาคต ทรัพย์สินของสวี่เจี้ยนกงจะต้องตกไปอยู่ในมือของคนสกุลอื่น ดังนั้น คุณท่านจึงยึดทรัพย์สินในมือของสวี่เจี้ยนกงกลับคืนทั้งหมด ทำให้ครอบครัวของสวี่เจี้ยนกงต้องตกลงมาจากสวรรค์ จากเดิมบ้านที่เคยอยู่กันอย่างกว้างขวาง กลับถูกแบ่งให้ลูกชายของสวี่เจี้ยนผิงซึ่งเป็นทายาทในอนาคตของตระกูลสวี่ ครอบครัวของสวี่เจี้ยนกงจึงต้องระเห็จไปยังเขตชุมชนเก่า บ้านขนาดสามห้องนอนหนึ่งห้องนั่งเล่นภายใต้พื้นที่ขนาดร้อยกว่าตารางเมตร ค่อนข้างอัตคัด ด้วยเหตุนี้ หลินมั่วจึงกลายเป็นหนามยอกอกของครอบครัวของสวี่เจี้ยนกง ในความเห็นของพวกเขา หากไม่ใช่เพราะหลินมั่ว ครอบครัวของพวกเขาคงจะไม่ตกต่ำลงมาถึงจุดนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยความไม่เอาไหนของหลินมั่ว ทำให้ครอบครัวของพวกเขากลายเป็นเรื่องตลกในเมืองก่วงหยาง ฟังฮุ่ยแม่ยายมักจะพูดเสมอว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะไอ้สวะหลินมั่ว ปั้นซย่าจะได้แต่งงานกับคนในตระกูลเศรษฐีและประสบความสำเร็จอย่างสูง” ในช่วงสามปีที่ผ่านมา หลินมั่วไม่ต่างจากพ่อบ้านที่คอยรับใช้คนในครอบครัวโดยไม่มีปากเสียง สามปีมานี้ พวกเขาไม่เคยยอมให้หลินซีก้าวขาเข้าบ้านเลยแม้แต่ก้าวเดียว สามปีที่หลินมั่วทำงาน พวกเขาเก็บเงินเดือนของหลินมั่วไปทั้งหมด แต่ยามนี้น้องสาวป่วย พวกเขากลับไปช่วยสักแดงเดียว นอกจากนี้ สวี่ปั้นซย่ายังมาทำเรื่องที่ผิดต่อเขาอีก หากเป็นคนอื่น ใครจะทนได้ เมื่อมาถึงทางเข้าชุมชน หลินมั่วบังคับตัวเองให้สงบสติอารมณ์ แม้ว่าเขาจะโกรธมาก แต่เขาก็ต้องพิสูจน์ให้แน่ชัดก่อนว่าสวี่ปั้นซย่ากำลังทำอะไร แล้วเธอคิดอย่างไรกันแน่! ชุมชนนี้เป็นชุมชนเก่าแก่ที่ทรุดโทรม ถนนภายในคับแคบ จึงไม่สามารถขับรถเข้าไปได้ หลินมั่วจึงจอดรถไว้ข้างนอกแล้วเดินเข้าไปด้านใน ในขณะที่เขากำลังจะขึ้นบันได ก็มีคนสองคนเดินสวนลงมา นั่นก็คือสวี่เจี้ยนกงพ่อตาและฟังฮุ่ยแม่ยายของหลินมั่ว ทันทีที่เห็นหลินมั่ว ใบหน้าของสวี่เจี้ยนกงก็มืดทะมึนลง เขาเบือนหน้าหนี ส่วนฟังฮุ่ยนั้น สีหน้าเต็มไปด้วยความโกรธ เธอพูดเสียงดังว่า “หลินมั่ว แกไปไหนมา กับข้าวก็ไม่ทำ เสื้อผ้าก็ไม่ซัก แกทำอะไรของแก” หลินมั่วขมวดคิ้วขึ้น แต่สักพักก็ดึงอารมณ์ให้เป็นปกติ ก่อนที่จะรู้แน่ชัดว่าสวี่ปั้นซย่าทำอะไร เขายังไม่คิดจะแตกหักกับคนตระกูลสวี่ “ผมไปจัดการให้เดี๋ยวนี้” หลินมั่วตอบเสียงเบา “ไม่ต้องแล้ว!” ฟังฮุ่ยพูดอย่างเดือดดาล “อีกประเดี๋ยวปั้นซย่าก็จะลงจากเครื่องบินแล้ว หากชักช้าทำให้เสียเวลา ฉันเอาแกตายแน่!” หลินมั่วก้มหัวไม่พูดไม่จา หลายปีมานี้ เขาคุ้นเคยกับสิ่งเหล่านี้แล้ว “รถที่ให้แกยืมมาล่ะ” ฟังฮุ่ยถามอย่างเหลืออดในขณะที่เดินออกมา “ผม...” หลินมั่วกำลังคิดจะพูด แต่กลับถูกฟังฮุ่ยตวาดใส่เสียก่อน “แท็กซี่อีกแล้วใช่ไหม แกคิดถึงหน้าปั้นซย่าบ้างสิ” “ยังไงเธอก็เป็นถึงผู้บริหารระดับสูงในบริษัท แต่แกกลับเอารถแท็กซี่ไปรับทุกครั้งที่กลับมาจากทำงานต่างจังหวัด เธอไม่ต้องมีหน้าบ้างหรือไง” “หลินมั่วเอ๋ยหลินมั่ว แกนี่มันไม่เอาไหนที่สุดเท่าที่ฉันเคยเห็นมาเลยนะ แกจะช่วยทำให้ปั้นซย่าดูดีสักครั้งได้ไหม” “ช่างเถอะ มัวแต่ใส่ใจคนอย่างแกมากๆ เข้า สักวันก็คงจะต้องโมโหจนตายแน่ๆ ฉันได้โทรศัพท์หาหวงเหลียงน้องเขยของแกแล้ว สักพักเขาคงเอาแอคคอร์ดมารับ” “จำไว้นะ เวลาเจอน้องเขย ช่วยพูดอะไรดีๆ บ้าง เอาแต่รบกวนชาวบ้านเขา แกไม่รู้สึกอายบ้างหรือไง” ปากของฟังฮุ่ยเป็นเหมือนปืนกล เมื่อได้อ้าปากก็รัวเสียจนไม่มีโอกาสให้หลินมั่วได้แทรก หลินมั่วจึงไม่ได้พูดเลย หลายปีมานี้ เขาชินชาเสียแล้ว สักพัก เมื่อทั้งสามเดินมาถึงทางเข้าชุมชน รถฮอนด้าแอคคอร์ดคันหนึ่งก็ขับผ่านหน้าไป ฟังฮุ่ยรีบโบกมือเรียกให้รถหยุด แต่แล้ว รถคันนั้นกลับผ่านหน้าพวกเขาไปจอดอีกฝั่งหนึ่ง “เกิดอะไรขึ้น เขาไม่เห็นเราเหรอ” ฟังฮุ่ยรู้สึกประหลาดใจ ที่ข้างๆ พวกเขามีรถคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งก็คือรถของผู้อาวุโสเฮ่อคันนั้น สวี่เจี้ยนกงมองไปที่รถแล้วพูดเบาๆ ว่า “ไม่ใช่เขาไม่เห็นพวกเราหรอก เขาเลี่ยงรถคันนี้ต่างหาก!” “เลี่ยง? ทำไมล่ะ” ฟังฮุ่ยถามด้วยความสงสัย “มายบัค เครื่อง V12 ราคาเริ่มต้นสามล้านกว่า ยิ่งไปกว่านั้น รถคันนี้ผ่านการดัดแปลงมา รวมๆ แล้วจะต้องไม่ต่ำกว่าห้าล้านเลยทีเดียว หากขูดโดนเข้า ต่อให้ขายแอคคอร์ดทิ้งก็ชดใช้ไม่ไหวหรอก” ขณะที่สวี่เจี้ยนกงพูด สายตาแสดงออกถึงความปรารถนา รถของคุณท่านสวี่ก็เป็นมายบัคเช่นกัน แต่หากเทียบกับรถคันนี้แล้ว ยังห่างไกลอีกหลายขุม! ฟังฮุ่ยก็ตกใจเช่นกัน “นึกไม่ถึงเลยว่าชุมชนของเราจะมีคนขับรถหรูขนาดนี้!” “ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นของคนในชุมชนนี่ อาจจะเป็นของคนรู้จักของใครสักคนก็ได้” สวี่เจี้ยนกงหยุดชะงักชั่วคราวแล้วกดเสียงต่ำ “แต่ คนที่รู้จักกับคนที่ขับรถหรูแบบนี้ได้ จะต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่ๆ!” เวลานี้ ชายหนุ่มทรงผมสกินเฮดคนหนึ่งเดินลงมาจากรถฮอนด้าแอคคอร์ด นั่นคือหวงเหลียงน้องเขยของหลินมั่ว ฟังฮุ่ยใบหน้ายิ้มแย้ม “อุ๊ย เสี่ยวหวง รบกวนอีกแล้ว ต้องขอโทษด้วยจริงๆ!” หวงเหลียงเหลือบมองรถมายบัคด้วยสายตาอิจฉาก่อนที่จะทำสีหน้าภาคภูมิใจ แม้ว่าเขาจะไม่สามารถขับรถแบบนี้ได้ แต่เขาก็ดีกว่าหลินมั่วมากโข! “แม่ ทำไมพูดแบบนี้ล่ะ พวกเราคนกันเอง จะเกรงใจกันทำไมกันครับ” หวงเหลียงมองหลินมั่วอย่างมีเลศนัย “พี่เขย ถ้าพี่ต้องการใช้รถ ก็โทรหาฉันเองก็ได้ ทำไมต้องไปรบกวนแม่ด้วยล่ะ” หลินมั่วก้มศีรษะลงไม่พูดอะไร หวงเหลียงคนนี้เป็นพวกอันธพาลในชุมชน ต่อมา เขาติดตามเจ้านายจนได้กลายเป็นพ่อค้ากิจการย่อมๆ คนหนึ่ง แม้ว่าเขาจะแต่งงานกับสวี่ตงเสวี่ยน้องสาวของสวี่ปั้นซย่า แต่ทุกครั้งที่เขามองสวี่ปั้นซย่า เจตนาชั่วร้ายชัดเจนอยู่ในดวงตา ส่วนตัว หวงเหลียงเยาะเย้ยหลินมั่ว มากกว่าคนทั่วไปเสียอีก ทุกครั้งที่เป็นการรวมตัวของตระกูล เขาพยายามแสดงว่าตัวเองเหนือกว่าหลินมั่ว ประการแรกก็เพื่อเหยียดหยามหลินมั่ว ประการต่อมาก็เพื่อจงใจแสดงให้สวี่ปั้นซย่าได้เห็น คนแบบนี้ หลินมั่วจะไปขอร้องเขาได้อย่างไรกัน เมื่อเห็นว่าหลินมั่วนิ่งเงียบ ฟังฮุ่ยจึงพูดเสียงแข็ง “ยืนนิ่งทำไมล่ะ ไม่รีบขอบคุณน้องเขยแกอีก!” หวงเหลียงมองไปที่หลินมั่วอย่างมีชัย หลินมั่วขมวดคิ้วขึ้นพูดเสียงเบาๆ ว่า “แม่ ผมมีรถ ไม่เห็นจะต้องขอบคุณเขาเลย” “แก...แกมีรถที่ไหนกัน” ฟังฮุ่ยชะงักไปครู่หนึ่งแล้วตะคอกใส่ “ไปรับปั้นซย่าที่สนามบินต้องหารถที่ดีหน่อย แกคงไม่เอารถกระจอกๆ มาอีกนะ แกเคยคิดถึงปั้นซย่าบ้างไหม” หวงเหลียงหัวเราะเยาะ “ใช่ครับพี่เขย ยังไงปั้นซย่าก็เป็นถึงผู้บริหารระดับสูงของบริษัทนะพี่ เอางี้ พี่ก็กัดฟันซื้อรถสักคันสิ อย่าให้ปั้นซย่าต้องนั่งรถผู้ชายคนอื่นกลับบ้านบ่อยๆ สิ!” สีหน้าของหลินมั่วเยือกเย็นลงและพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “ไม่ต้องให้นายเป็นห่วงหรอก เธอไม่จำเป็นต้องนั่งรถของคนอื่นอีกต่อไปแล้ว!” “ฮ่าๆ เรื่องขี้โม้ ใครพูดไม่เป็นบ้าง สำคัญต้องดูที่ว่ามีปัญญาหรือเปล่า!” หวงเหลียงตบแอคคอร์ดของเขาแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “แม้ว่าตอนนี้ราคารถจะไม่แพงมาก แต่ก็ต้องมีสองถึงสามแสนเชียวนะ พี่เขย ได้ยินมาว่าเงินช่วยชีวิตน้องสาวของพี่ก็แค่สามแสนเอง พี่จะซื้อรถ หรือจะซื้อชีวิตล่ะ” “หลินมั่ว แกมันน่าผิดหวังจริงๆ ตัวเองไม่มีความสามารถ ยังคุยโวอีก พอแล้วๆ คราวนี้ไม่พึ่งแกแล้ว!” ฟังฮุ่ยรู้สึกผิดหวัง “เสี่ยวหวง นายก็ไปสนามบินด้วยกันกับพวกเราสิ!” “ได้ครับ!” หวงเหลียงรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง แน่นอนว่าเขาต้องการจะใกล้ชิดกับสวี่ปั้นซย่าให้มากขึ้น แต่เวลานี้ หลินมั่วเดินไปข้างๆ มายบัค เขาเปิดประตูแล้วหันไปหาฟังฮุ่ย “แม่ ให้ผมไปเองดีกว่า!”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอเทวะหัตถาศักดิ์สิทธ