เกิดใหม่ยุค80 กุลสตรีอย่างข้าจะพารวยเอง นิยาย บท 30

หลินชงมักจะเดินทางมาหาเซวียหลิงสม่ำเสมอ เขาพาเธอออกไปข้างนอกเที่ยวเล่นและซื้อของขวัญเล็กๆ น้อยๆ มาให้ แต่ละวันเขาจะแต่งบทกวีให้เธอด้วย

เขาบอกว่านับแต่นี้เป็นต้นไปทุกวันเขาจะแต่งบทกวีให้เธอวันละบท แล้วส่งไปยังสำนักหนังสือพิมพ์เพื่อตีพิมพ์เป็นหนังสือ ไว้รำลึกถึงความสัมพันธ์อันอบอุ่นระหว่างเขากับเธอ

แม้ว่าตอนนั้นเซวียหลิงจะแต่งงานแล้ว แต่ในด้านของความรักยังเปรียบเสมือนกระดาษขาว ถูกเขาเกลี้ยกล่อมหยอกล้อเสียจนคล้อยตาม และในที่สุดเธอก็นำเงินสินสอดทองหมั้นหนีออกไปจากหมู่บ้านตระกูลเฉิง

หลินชงหลอกเธอว่าเขาจะไปเรียนต่อมหาวิทยาลัย เนื่องจากก่อนหน้านี้ไม่มีค่าเล่าเรียน ดังนั้นจึงจำเป็นจะต้องพักการเรียน

เพื่ออนาคตของเธอและเขา เพื่อชีวิตที่ดีขึ้นหลังจากแต่งงานกันแล้ว เขาจำเป็นจะต้องไปเรียนมหาวิทยาลัยให้จบ

เซวียหลิงจึงรีบนำสินสอดทองหมั้นของตนเองประกอบกับเงินที่บิดาโอนมาให้ สุดท้ายหลังรวมกันแล้วได้มากถึงสามพันหยวน ส่งไปให้เขาเพื่อช่วยให้เขาได้เรียนต่อ

เงินสามพันหยวนในสมัยนั้นถือว่าเป็นมูลค่ามหาศาล

หลินชง นำเงินจำนวนมหาศาลนี้จากไปแล้วทิ้งเธอเอาไว้ที่เอี๋ยนเฉิงทางใต้เพียงลำพัง

ในตอนนั้นเธอกลัวว่าเฉิงเทียนหยวนจะมาตามหาเธอ เธอจึงได้ตัดสินใจเดินทางไปที่ทิศใต้เอี๋ยนเฉิงเพื่อที่จะได้ห่างไกลกับเขตเหนือ

เธอไม่กล้าพาหลินชงกลับไปที่เมืองหลวงเกรงว่าพ่อแม่พบเข้าจะตำหนิเธอจะแย่

อีกอย่าง หลังจากที่เฉิงเทียนหยวนรู้ที่อยู่ของเธอ และพบว่าเธอไม่อยู่ คงจะต้องไปที่เมืองหลวงเพื่อไปหาพ่อแม่ของเธอแน่นอน

หลังจากที่หลินชงเดินทางจากไปแล้ว เธอก็ใช้ชีวิตเพียงลำพังในชานเมืองของเอี๋ยนเฉิง

ในตอนนั้นเธอไม่เคยเดินทางออกจากบ้านมาก่อน แต่กลับต้องมาใช้ชีวิตเพียงลำพังในเมืองอันไม่คุ้นเคยเช่นนี้

เงินที่เหลืออยู่เพียงสิบกว่าหยวนก็ลดน้อยลงทุกวัน เธอต้องพยายามทำงานเพื่อให้มีค่าอาหารสามมื้อในแต่ละวัน

เธอมีความรู้ด้านภาษา ดังนั้นในไม่ช้าก็ได้ทำงานในบริษัทการค้าต่างประเทศ ทำให้ชีวิตค่อยๆ ดีขึ้น

คิดไม่ถึงว่าหลินชงที่จากไปจู่ๆ จะปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง บอกว่าเขาต้องการเงินไปลงทุนในการวิจัยวิทยาศาสตร์ เป็นโครงการที่ดีมาก แต่ว่าตอนนี้ไม่มีเงินทุนช่างน่าเสียดายเหลือเกิน

เซวียหลิงรู้สึกสงสารที่เขามีความสามารถแต่ไม่อาจจะพัฒนาความสามารถนั้นได้ จึงได้นำเงินเดือนทั้งหมดของเธอให้แก่เขาอีกทั้งยังไปเบิกเงินเดือนล่วงหน้ากับบริษัทมาอีกหนึ่งเดือน

ใครจะคิดถึงว่าหลินชงพูดว่ายังไม่พอ อย่างน้อยต้องมีเงินห้าพันหยวน

เธอกัดฟันโทรศัพท์ไปหาพ่อแม่ที่อยู่เมืองหลวงแล้วยืมเงินพวกเขามาสี่พันหยวน

สิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจนั่นก็คือ พ่อแม่ของเธอยังไม่รู้ว่าเธอเดินทางออกมาจากหมู่บ้านตระกูลเฉิงแล้ว พวกเขาได้แต่เอ่ยถามว่าเธอมีการเป็นอยู่ที่ดีหรือไม่

เธอไม่กล้าพูดความจริง ดังนั้นจึงได้บอกเพียงว่าต้องการเงินก้อนหนึ่งมาลงทุนทำการค้าหวังว่าพ่อจะให้เธอ

เมื่อพ่อเซวียได้ยินว่าเธอต้องการเงินจำนวนมากขนาดนั้นก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยเล็กน้อย เขาพยายามเอ่ยถามว่าเป็นการค้าประเภทใด และเอ่ยเตือนว่าเธอยังอ่อนประสบการณ์ อย่าได้ถูกคนอื่นหลอกเอา

ตัวเธอทั้งกลัวและวิตกกังวล เธอจึงทำได้เพียงตัดสินใจเด็ดขาดแล้วพูดว่า ถ้าไม่ให้เธอยืม ต่อไปนี้เธอจะไม่กลับบ้านอีกแล้ว

พ่อของเธอได้ยินดังนั้นก็โมโหเสียวางโทรศัพท์เธอลง

ถึงจะโกรธ แต่ท้ายที่สุดแล้วพ่อแม่ก็ยังเห็นลูกเป็นดุจดั่งดวงใจ ไม่กี่วันต่อมาก็ได้โอนเงินสามพันหยวนมาให้เธอ

หลังจากนั้นสี่วันเธอไปที่ไปรษณีย์เพื่อรับเงิน ประกอบกับเงินในมือที่มีอยู่หนึ่งพันกว่าหยวน เธอนำเงินทั้งหมดนี้ไปให้หลินชง

ใครจะคิดถึงว่าเจ้าหมอนั่นช่างโลภมากเหลือเกิน เขาพูดด้วยสีหน้าอันเศร้าใจว่ายังมีอีกแปดร้อยหยวนที่ขาดไป ให้เธอช่วยเขาคิดหาวิธีหน่อย

เซวียหลิงคิดว่าหากจะหารายได้ก็ควรจะมีการลงทุน ดังนั้นเธอจึงกัดฟันไปให้เพื่อนร่วมงานช่วยเหลือ

น่าเสียดายที่เพื่อนร่วมงานของเธอแต่ละคนมีเงินเดือนเพียงแค่สองร้อยหยวน พวกเขาต้องเลี้ยงดูครอบครัว ทุกคนไม่มีใครกล้าให้ยืมเงินแปดร้อยหยวนที่มากมายขนาดนั้น

ต่อมา ตอนที่เธอกำลังสิ้นหวังก็มีเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งแนะนำให้เธอรู้จักกับเงินกู้นอกระบบที่มีดอกเบี้ยสูง เป็นเจ้าถิ่นของเอี๋ยนเฉิง ยืมเงินจำนวนแปดร้อยหยวนมา

หลินชงนำเงินจากไปอย่างมีความสุข

ด้วยเหตุนี้เองตอนกลางวันเธอต้องทำงานประจำ ตอนกลางคืนต้องทำงานเสริม เธอพยายามทำงานอย่างหนักเพื่อหาเงินมาใช้หนี้นอกระบบที่กู้เอาไว้

แต่ละวันเธอกินอยู่อย่างประหยัด บางครั้งอาหารเช้าเธอก็ไม่อยากกินเพราะความเสียดาย แต่ละวันได้แต่พยายามหาเงิน

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ยุค80 กุลสตรีอย่างข้าจะพารวยเอง