บัลลังก์หมอยาเซียน นิยาย บท 125

หยวนชิงหลิงหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว จึงต้องกัดฟันทำใจดีสู้เสือ หันไปเผชิญหน้ากับเจ้าหญิงโล่ผิง

เจ้าหญิงโล่ผิงชำเลืองมองนางอย่างเย็นชาและตรัสว่า "ข้าได้ยินว่า เจ้ามาที่นี่เพื่อรักษาอาการป่วยให้เจ้าหก คนอื่นอาจไม่รู้ว่าเจ้าเก่งกาจสามารถแค่ไหน แต่ข้าคนนี้กลับรู้ดียิ่งนัก เรื่องงามหน้าที่เจ้าทำในจวนข้าครั้งนั้น ข้ายังไม่เอามาคิดเล็กคิดน้อยกับเจ้าเลย เจ้ายังกล้ามาโกหกพกลมอันใดที่จวนอ๋องหวยนี่อีกหรือ"

หยวนชิงหลิง เข้าใจความโกรธของเจ้าหญิงโล่ผิงเป็นอย่างดี

ในงานเลี้ยงวันเกิดของนาง แน่นอนว่านางต้องเชิญทั้งพระญาติและพระสหายมาร่วมฉลองยินดี เดิมทีก็ควรเป็นเรื่องที่สุขสันต์หรรษามาก ทั้งเชิญคนมาร่วมทานอาหาร ทั้งเชิญคณะละครมาให้ความสนุกตื่นเต้น กลัวก็แต่ ต่อให้เจ้าหญิงโล่ผิงจะใช้เซลล์ทั้งหมดในร่างกายของนางช่วยคิด ก็คงไม่มีวันคิดไปได้ถึงขั้นที่ว่า คณะละครที่นางเชิญมา ยังเล่นละครได้ไม่สนุกชวนตกตะลึง ได้เท่าคู่พ่อลูกเจ้าพระยาจิ้งเลยด้วยซ้ำ

ซึ่งนั่นทำให้นางเสียหน้าอย่างถึงที่สุด ทั้งยังเสียงานที่อุตส่าห์จัดเตรียมไว้แบบพังเละไม่เป็นท่า สิ่งที่ร้ายแรงที่สุดคือ นางถูกคนอื่นใช้เป็นสะพานไปทำในสิ่งที่น่าละอาย ซึ่งสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อชื่อเสียงของนาง

ในฐานะที่เป็นหนึ่งในผู้กระทำผิดหลัก หยวนชิงหลิงไม่สามารถทำตัวแข็งกร้าวเหมือนตอนเผชิญหน้ากับพระชายาจี้ได้ นางหลุบขนตาลงต่ำ เลียนแบบท่าทางน่าสงสารชวนเวทนาของฉู่หมิงชุ่ยที่เห็นเมื่อครู่ทุกกระเบียดนิ้ว พูดเสียงแผ่วเบาว่า " นี่เป็นความประสงค์ของเสด็จพ่อเพคะ"

"นี่เจ้าคิดจะใช้เสด็จพ่อมากดดันข้าอย่างนั้นรึ" เจ้าหญิงโล่ผิงเลิกคิ้วพลางเงยหน้าขึ้น

"มิบังอาจเพคะ" หยวนชิงหลิงโบกมือเป็นพัลวัน แสดงท่าทีประจบเอาใจอีกฝ่ายเต็มที่ "อันที่จริง ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เสด็จพ่อจึงได้มีรับสั่งเช่นนี้เหมือนกันเพคะ"

เดิมทีเจ้าหญิงโล่ผิง เพียงต้องการจะระบายโทสะที่อัดอั้นนี้ออกไปเท่านั้น แต่วันนี้เมื่อได้มาเห็นท่าทางอันน่าเวทนาของนางเข้า จึงไม่อาจระบายไฟโทสะที่อัดแน่นอยู่ในท้องออกมาได้ดั่งที่หวัง

แต่เห็นได้ชัดว่าพระชายาจี้ไม่ได้มีเจตนาแค่จะยืนดูเรื่องราวเฉยๆ นางวางแผนเข้ามาช่วยเติมเชื้อไฟให้ทางฝ่ายเจ้าหญิงโล่ผิงอีกหนึ่งฉาก

นางก้าวไปข้างหน้าด้วยรอยยิ้ม พร้อมแสดงสีหน้าปลอบใจ "พระชายาฉู่ เรื่องใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับการรักษาโรค เจ้าสามารถบอกเจ้าหญิงได้ทั้งสิ้น ที่วันนี้เจ้าตำหนิข้ากับหลู่เฟย ก็เพราะพวกเราไม่รู้กฎระเบียบในการรักษามากพอ เจ้าหญิงทรงหลักแหลมนัก นางย่อมจะเข้าใจทุกสิ่งได้ฉับไว ไม่สู้เจ้ารีบบอกเจ้าหญิงให้หมด เพื่อจะได้ไขข้อสงสัยให้กับเจ้าหญิงได้ไม่ดีกว่าหรือ"

หยวนชิงหลิงปรายตามองชายาจี้แวบหนึ่ง ทำไมที่ไหนๆ ก็มีแต่ปากเหม็นๆ ของนางอยู่ทั่วทุกที่แบบนี้ได้นะ

เจ้าหญิงโล่ผิงได้ยินว่า นางยังกล้าตำหนิหลู่เฟยกับพระชายาจี้อีก จึงยิ้มเย็นชาพลางกล่าวว่า "สง่างาม ช่างสง่างามยิ่งนัก แค่ได้รับพระบัญชาจากเสด็จพ่อ ก็ไม่ต้องรู้จักที่ต่ำที่สูงแล้ว กระทั่งหลู่เฟยกับพระชายาจี้ก็ยังกล้าตำหนิแล้ว เจ้านี่ช่างน่ารังเกียจอะไรเช่นนี้ จำไม่ได้แล้วหรอกรึ ว่าตำแหน่งพระชายาฉู่นี้ เจ้าใช้วิธีต่ำช้าอะไรจึงได้มันมาหรือ วันนี้เจ้าอยากให้ข้าพูดถึงเรื่องน่าละอายที่เจ้าทำในจวนของข้าต่อหน้าธารกำนัลหรือไม่ ในชีวิตข้าเคยพบเห็นคนมานับไม่ถ้วน แต่ไม่เคยเห็นคนที่ไร้ยางอายได้มากเท่าเจ้ามาก่อนเลยจริงๆ ที่เจ้าแต่งให้กับเจ้าห้า ช่างเป็นเรื่องที่ทำให้ราชวงศ์เสื่อมเสียเกียรติยิ่งนัก"

คำพูดเหล่านี้ ถูกตอกทับอยู่ในหัวใจของเจ้าหญิงโล่ผิงมาเป็นเวลาหนึ่งปีเต็มๆ แล้วแหละ ในวันนี้นางจึงใช้โอกาสนี้ ระบายโทสะเหล่านั้นออกมาต่อหน้าทุกคน ในใจนางพลันรู้สึกปลอดโปร่งผ่อนคลายลงไปมากจริงๆ

หยวนชิงหลิงก็มีความสุขมากขึ้นเช่นกัน เพราะตามปกติแล้ว หากคนเรานิ่งเงียบกักเก็บความไม่พอใจไว้ข้างใน ความขุ่นเคืองเหล่านั้นก็จะดำเนินต่อไปไม่หาย

แต่เมื่อไรที่ได้ด่า ได้ระบายออกมาให้หมด มันจะเป็นการปล่อยวางความคับข้องใจ นั่นจะช่วยให้ใจสงบลงไปได้มาก

นางยืนอย่างเป็นการเป็นงาน หันหน้าเข้าหาเจ้าหญิงโล่ผิง "เจ้าหญิง ข้าต้องกราบขออภัยสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นในจวนของท่านเมื่อหนึ่งปีที่แล้วด้วย เรื่องนี้เป็นข้าเองที่ทำผิดไป ตอนนี้เมื่อลองมาคิดย้อนไปในเหตุการณ์นั้น ข้าก็รู้สึกอับอาย ข้าละอายใจเหลือเกิน แต่เพราะก้าวแรกผิดไปแล้วหนึ่งก้าว ก้าวต่อไปก็ยิ่งผิดพลาดไปเรื่อยๆ กระทั่งข้าเองก็ยังไม่อาจยกโทษให้ตัวเองได้ อีกทั้งเป็นเพราะความเห็นแก่ตัวของข้า จนไปทำร้ายท่านอ๋องอย่างร้ายกาจ หนึ่งปีที่ผ่านมานี้ ท่านอ๋องต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงไปไม่น้อย เสด็จพ่อก็ทรงผิดหวังในตัวเขา วันนี้ต่อหน้าทุกคนที่นี่เป็นสักขีพยาน ข้าจะขอกราบขออภัยต่อเจ้าหญิงอย่างจริงใจ เมื่อกลับไป ข้าก็ไปจะขออภัยต่อท่านอ๋องด้วย"

นางไม่ได้สนใจเกี่ยวกับชื่อเสียงของตัวเองมากนัก แต่หยู่เหวินเห้าก็นับว่าเป็นคนที่ถูกเจ้าของร่างเดิมสร้างความลำบากให้อย่างน่าอนาถอย่างถึงที่สุดจริงๆ ครั้งนี้นางเอ่ยปากยอมรับความผิดต่อหน้าทุกคน ว่าเป็นความผิดของนางเอง จึงถือได้ว่าเป็นการคืนความบริสุทธิ์ให้เขาแล้ว ก็หวังแค่ว่าจากนี้ไป เขาจะไม่พูดว่านางติดค้างเขามากมายไปกว่านี้

ส่วนเรื่องที่ว่า นางจะถูกผู้คนหัวเราะเยาะหรือไม่ นางก็ไม่สนใจอยู่ดี เพราะที่จริงทุกคนก็รู้ดีอยู่แก่ใจ แต่แค่ไม่ได้พูดออกมาตรงๆ ก็เท่านั้น

เจ้าหญิงโล่ผิงถึงกับตรัสสิ่งใดไม่ออกไปแล้ว

ที่นางด่าออกไปยกนั้น ด้วยสถานะปัจจุบันของหยวนชิงหลิง นางสามารถหักล้างมันได้ หรืออาจแสร้งทำเป็นว่าได้รับความไม่เป็นธรรม แต่การที่นางยอมรับความผิดของตัวเองอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ กลับทำให้ผู้คนไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกไปดี

พระชายาจี้หัวเราะแห้งๆ สองที ไม่อาจพูดอะไรออกมาได้ไปชั่วขณะหนึ่ง

ในท้ายที่สุด เจ้าหญิงโล่ผิงจึงทำได้เพียงตรัสอย่างเฉยเมยว่า "เจ้ารู้ตัวว่าผิดก็ดีแล้ว"

ทุกคนต่างมองไปที่หยวนชิงหลิง แต่ดวงตาของพวกเขา กลับไม่ได้แสดงอาการดูถูกเหยียดหยามเหมือนเมื่อก่อนแล้ว

เรื่องราวใดๆ ในโลกนี้ก็แปลกแบบนี้เอง เมื่อไรก็ตามที่ผู้คนเริ่มคาดเดาในตัวคุณ ก็มักจะมีเหตุการณ์กลับตาลปัตรเกิดขึ้นมาได้อยู่เสมอ

แต่ถ้าคุณยอมรับมัน ยอมรับความผิดพลาดในเรื่องนี้จากใจจริง จะเป็นการสร้างความรู้สึกร่วมให้ทุกคน ว่านี่คือความใจกว้างและกล้าหาญ กล้าทำกล้ารับ ในท้ายที่สุด ทุกคนก็จะเกิดความรู้สึกว่าพอจะอภัยให้เราได้

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บัลลังก์หมอยาเซียน