ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 221

บนถนนยามใกล้ตะวันตกดิน ผู้คนไปมาไม่น้อย ด้านนอกประตูใหญ่โรงเตี๊ยมลั่วหยางก็มีคนเข้าออกมากมาย แต่สักพักชายร่างสูงเกือบสองเมตรร่างกายกำยำก็เหาะเข้ามา รังสีอำมหิตนั่นมันไม่น้อยเลยจริงๆ

มีหลายคนโดนเขาชนล้มลงกับพื้น ต่างพากันด่าเขาระงม ยังมีคนหยิบอาหารสาดใส่เขา แต่ชายผู้นี้มิได้สนใจสักนิด ยังคงเหาะทะยานเข้ามาทางนี้พร้อมกับร้องตะโกนไปด้วย

ทิศทางที่เขาพุ่งเข้ามาเป็นจุดที่โหลชียืนอยู่พอดี ระหว่างนั้นนางยังตะโกนไม่หยุดว่า "เร็วสิ เถ้าแก่ลั่ว รีบเรียกท่านหมอโจวออกมา!"

หยุนเฟิงลงขาผิด ตนโผล่มาขวางหน้าโหลชีเอาไว้ ในจังหวะก่อนที่เขาจะชน ข้อมือสะบัดเบาๆ ร่างกำยำของชายผู้นั้นพลันเอียงไป ลอยผ่านร่างเขาไป และเขากลับไม่รู้สึกเลย

เถ้าแก่ลั่วร้อนใจจนกระทืบเท้า "เจ้าตัวใหญ่หลู! หยุดนะ เจ้าจะวิ่งพล่านเข้าไปไม่ได้!" เขารีบหันมาบอกหยุนเฟิงหนึ่งคำ จากนั้นวิ่งเข้าไป

"คุณชายหยุนพาทุกท่านเข้ามาเถิด ข้าจะเข้าไปดูหน่อย อย่าให้เจ้าตัวใหญ่หลูก่อเรื่อง" หยุนเฟิงบอกโหลชีอย่างหน่ายใจ "ดูท่าเถ้าแก่ลั่วจะให้ข้าทำหน้าที่เสี่ยวเอ้อร์แล้วล่ะ คุณชายท่านนี้ อยากอยู่เรือนเล็กเป็นส่วนตัวหรือห้องชั้นหนึ่งเล่า?"

โหลชีหัวเราะร่วนว่า "พี่เสี่ยวเอ้อร์พาพวกเราเข้าไปดูสักหน่อยเถิด"

"คุณชายเชิญด้านนี้" หยุนเฟิงพันแขนเสื้อ ชี้นำทางไป

จะเข้าเรือนหลัง ด้านข้างห้องโถงชั้นหนึ่งมีทางเดินไป ถูเปินพาคนอื่นไปจัดเตรียมรถม้าก่อน เฉิงสิบกับโหลวซิ่นหิ้วถุงผ้าขนาดใหญ่หลายถุงตามเข้าไปกับโหลชี

สวนดอกไม้ที่อยู่ระหว่างเรือนหน้ากับเรือนหลังใหญ่มาก เพียงแต่วันนี้มีเพียงดอกเหมยไม่กี่ดอกผลิบาน และไม่มีดอกไม้อื่นเลย

ตอนพวกเขาเข้ามาก็เห็นเจ้าตัวใหญ่หลูนั่นกำลังแหกปากตะโกนเรียกท่านหมอโจวหน้าห้อง เถ้าแก่ลั่วยังอยากเกลี้ยกล่อมเขาให้ไป ต่อมามีแขกหลายคนโดนตะโกนจนหนวกหู หลังจากเขาพร่ำขอโทษก็ยังไม่สามารถดึงเจ้าตัวใหญ่หลูออกไปได้ เขาชี้ไปที่ตึกสองชั้นตรงข้ามที่ยิ่งดูเงียบสงบพลางว่า "ท่านหมอโจวอยู่ในห้องชั้นหนึ่งทางด้านนั้น แต่ตอนนี้เขารอรับแขกผู้สูงศักดิ์อยู่ เจ้าต้องรอก่อน!"

เจ้าตัวใหญ่หลูตะโกนปาวๆ "แขกผู้สูงศักดิ์อันใดต้องให้ข้ารอ! ข้าไม่รอ ถ้าท่านหมอโจวไม่รีบออกไปรักษาเสี่ยวเป่า เขาจะโดนนังผีร้ายให้ร้ายจนตายแล้ว!"

พอได้ยินคำนี้ โหลชีชะงักฝีเท้าทันที ยืนฟังอยู่ด้านข้างอย่างนึกสนใจ หยุนเฟิงเห็นนางเป็นแบบนี้ อดยิ้มถามไม่ได้ว่า "ท่านหมอโจวนั่นมีชื่อเสียงอยู่บ้างในเมืองลั่วหยาง ปกติเขาจะอยู่แต่ในหุบเขา เดือนหนึ่งออกมาสิบวัน ก็มาพักที่โรงเตี๊ยมลั่วหยางนี่ คนที่มาหาเขามีไม่น้อยเลย"

"ท่านหมอโจวนี่เป็นหมอเทวดารึ?" โหลชีถาม

"เจ้าให้เขารักษา เขาคงไม่ทำหรอก แต่เหมือนอย่างที่เจ้าตัวใหญ่หลูนี่พูด ใครจะโดนนังผีร้ายให้ร้ายจนตาย เขายังพอจะรักษาได้อยู่บ้าง"

โหลชีประหลาดใจ "หมอผี?" นี่ยังเรียกท่านหมอ?

หยุนเฟิงส่ายหัวบอก "รายละเอียดยังไงข้าก็ไม่เคยถามให้ละเอียด หากท่านสนใจก็ลองฟังดูเถิด"

โหลชีสนใจเข้าจริงๆ เดิมนางมาท่องเที่ยวไปทั่ว ไม่เพียงแค่ดูวิวทิวทัศน์หรือลิ้มลองอาหารเลิศรส ยังมีความสนใจอีกอย่างคือฟังเรื่องราวของที่ต่างๆ และเรื่องแปลกประหลาดของที่ต่างๆด้วย

ท่านหมอที่ไม่ได้รักษาโรคแต่รักษาผีได้นี่ นางสนใจอยู่นิดหน่อยจริงๆ

ทางนั้น เจ้าตัวใหญ่หลูยังคงตะโกนต่อไปไม่หยุด ความหมายโดยรวมคือ มีชายหนุ่มชื่อเสี่ยวเป่า เพราะโดนนังผีร้ายตามรังควาน ตอนนี้สีหน้าซีดเผือด ร่างกายอ่อนแรง ยืนไม่ไหวกินอะไรไม่ได้ ใกล้จะตายแล้ว โหลวซิ่นได้ยินมาถึงตรงนี้อดถามขึ้นไม่ได้ว่า "เจ้ารู้ได้ยังไงว่ามีนังผีร้ายตามรังควานเขา?"

เจ้าตัวใหญ่หลูเบิกตากว้างแทบถลน "เขาพูดเองไงเล่า เจ้านี่โง่จริง"

โหลวซิ่นที่ถูกด่าว่าโง่สะอึก เฉิงสิบหัวเราะร่าออกมา

ทางด้านนี้ยังไม่แล้วเสร็จ ก็มีคนเข้ามาจากด้านหลัง พอเห็นเถ้าแก่ลั่วก็บอก "เถ้าแก่ลั่ว ท่านหมอโจวอยู่ห้องใดกัน?"

พอหลายคนหันไปดู พบว่าผู้ที่มาเป็นชายในชุดเสื้อคลุมสีน้ำเงินผู้หนึ่ง ด้านหลังตามมาด้วยบ่าวรับใช้ชายสี่คน สาวใช้สี่คน ขบวนเอิกเกริกน่าดู

เดิมโหลชีคิดว่าชายคนนั้นคงเป็นคุณชายตระกูลสูงที่ไหนสักที่ แต่กลับได้ยินเถ้าแก่ลั่วเรียกเขาว่า "พ่อบ้านหาน ท่านมาแล้ว"

พ่อบ้านคนเดียว ขบวนเอิกเกริกน่าดูยิ่งนัก

หยุนเฟิงกระซิบข้างๆว่า "ตระกูลหาน คหบดีร่ำรวยอันดับหนึ่งของเมืองลั่วหยาง แม้แต่ที่ตงชิงก็ยังติดอันดับอยู่เหมือนกัน"

พอโหลชีได้ยินเขาพูดแบบนี้ก็นึกถึงอีกคนหนึ่งขึ้นมาได้ว่า หว่านฉ่ายจือ ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่สาวงามที่มาพำนักอาศัยอยู่ที่ตำหนักจิ่วเซียวตำหนักหนึ่ง จำได้ว่าตอนนั้นนางเคยกล่าวไว้ นางเป็นบุตรสาวของคหบดีรวยอันดับหนึ่งของตงชิง เพียงแต่ในระหว่างพิธีคัดเลือกพระสนม หลันอี้ซึ่งเป็นบุตรสาวอดีตเจ้าเมืองพั่วอวี้ทำให้เฉินซ่าโกรธ โดนจับขังคุก ต่อมาไม่รู้ทำไมถึงตายเสียในคุก คนอื่นนอกนั้นนางก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร ตอนนี้มานึกขึ้นได้เลยถามสักหน่อย

"เฉิงสิบ หว่านฉ่ายจือนั่นต่อมาเป็นยังไงบ้าง?"

เฉิงสิบไม่คิดว่าจู่ๆนางจะถามถึงหว่านฉ่ายจือ อึ้งไปชั่วครู่ก่อนส่ายหัวบอก "ข้าน้อยมิทราบ" โหลวซิ่นเข้ามาพูดต่อให้ว่า "ข้าน้อยทราบ ว่าพอหลันอี้ตาย อีกสามคนที่เหลือก็ยังพำนักที่ตำหนักหนึ่ง แต่ได้ยินว่าวันๆถูกขังให้ปักผ้าในห้อง ไม่มีใครได้ออกมา แต่ละนางอยู่กันสงบเงียบมาก"

ขังไว้ให้ปักผ้าในห้องทุกวัน?

โหลชีครุ่นคิด

ตอนที่เข้าไปในเมืองพั่วอวี้ครั้งแรกนางรู้สึกว่าเฉินซ่าหรูหรามาก กำแพงเมืองนั่น ตำหนักจิ่วเซียว รถม้าของเขา ล้วนแต่หรูหราไร้ที่เปรียบ แต่ต่อมาถึงรู้ว่าที่จริงแล้วเป็นสมบัติที่เมืองพั่วอวี้เหลือไว้ก่อนแล้ว รอจนเขาพาคนเข้าไปอยู่ จะเลี้ยงคนนับหมื่น แถมยังลดภาษีประชาชน เรียกได้ว่าเอาแต่กินแต่ไม่ทำเพิ่ม จะสร้างประเทศไม่ใช่เรื่องง่ายเลย โดยเฉพาะตอนนี้เขายังขาดคน คนข้างกายเขาที่สามารถช่วยงานได้ยังน้อยนัก ส่วนตัวเขาเองและพวกองครักษ์เสวี่ยองครักษ์เยว่ยังต้องแบ่งประสาทส่วนใหญ่มาที่เรื่องตามหาตัวยา

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ