ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 232

ทีนี้ความน่ารักของมันทำให้ทุกคนที่กำลังอึ้งอยู่กับคำพูดเมื่อครู่ของโหลชีใจละลายกันไปหมด คุณหนูสี่หานที่อายุน้อยที่สุดก็ลุกขึ้นมา วิ่งมาตรงหน้าของโหลชี กะพริบดวงตาที่สดใสเป็นประกายแล้วกล่าวว่า: "คุณชายเจ็ด ให้เจ้าจิ้งจอกน้อยกินเถิด ที่ข้ายังมีเนื้อไก่อยู่ยกมาให้มันกินด้วย ดีไหม?"

โหลชีมองดูนางครู่หนึ่ง เกี่ยวมุมปากขึ้นมา: "ไม่งั้นเจ้าก็พามันไปกินเถิด"

"ได้หรือเจ้าคะ?" คุณหนูสี่หานดีใจมาก แววตาโกรธเคืองของคุณหนูรองหานกวาดมาทางนี้ทันที โหลชีสะดุ้งสั่นขึ้นมาทันที

"วูวู----" จิ้งจอกม่วงมุดเข้าไปในอ้อมแขนของเฉิงสิบ เห็นได้ชัดว่าปฏิเสธ หน้าเล็กของคุณหนูสี่หานเจื่อนลงมา โหลชีถลึงตาจ้องมองจิ้งจอกม่วงนั่นครู่หนึ่ง กางมือเป็นการขอโทษคุณหนูสี่หาน

เจ้าบ้านหานดุเสียงเบาคำหนึ่ง: "ยังไม่รีบกลับไปที่นั่งอีก" ตรงข้าม สีหน้าของฮูหยินหานก็ไม่ค่อยน่าดูเท่าไหร่นัก ลูกสาวนางถึงจะเป็นบุตรีภรรยาหลวง บุตรีอนุภรรยาคนนี้ยังกล้ามาชิงความโดดเด่นให้ที่เป็นสนใจได้!

เจ้าบ้านหานได้รับสายตาไม่พอใจของลูกสาวคนรอง กระแอมเบาๆ กล่าวว่า: "นายน้อย คุณชายเจ็ด ลูกสาวคนรองของข้าไม่มีวรยุทธ แต่ในเวลาปกติแล้วก็เรียนการร่ายรำกระบี่มาบ้างเล็กน้อย ให้นางรำสักช่วงเพื่อเพิ่มอรรถรสในการร่ำสุราเป็นเช่นไร?"

โหลชีไม่ค่อยเข้าใจความคิดของเจ้าบ้านหานเท่าไหร่นัก เดิมทีลูกสาวสุดที่รักของตนเองน่าจะถูกทะนุถนอมเอาไว้อย่างดี ให้นางแสดงความสามารถให้แขกผู้ชายชม สำหรับยุคสมัยนี้แล้วเดิมทีก็ถือเป็นเรื่องน่าอับอายมากอยู่แล้ว เขากลับเสนอให้คุณหนูรองหานรำกระบี่เพื่อเพิ่มอรรถรสในการร่ำสุราด้วยตัวเอง

ไม่รู้ทำไมโหลชีนึกถึงหลันอี้ลูกสาวของอดีตเจ้าเมืองในตำหนักจิ่วเซียวผู้ซึ่งฝึกฝนการร่ายรำกระบี่อย่างหนักเพื่อดึงดูดความสนใจของเฉินซ่าคนนั้น จุดจบสุดท้ายกลับตายอยู่ในคุก

ความคิดเชื่อมโยงนี้ ถือว่านึกถึงใครบางคนได้ไหม? โหลชีเบะปาก ตัดสินใจอภัยให้ตัวเอง เพราะถึงอย่างไรเฉินซ่าก็เป็นผู้ชายที่ยอดเยี่ยมซะขนาดนั้น แล้วก็ชอบนางด้วย นางจะอาลัยอาวรณ์ก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว เป็นธรรมชาติของมนุษย์ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างนี้ให้มันเป็นหน้าที่ของเวลา นางไม่เชื่อว่าด้วยความตั้งใจแน่วแน่ของตนเองจะไม่สามารถเอาชนะความรู้สึกในครั้งนี้ได้

ในเมื่อเจ้าบ้านหานเองยังไม่ถือสา นางย่อมไม่ไปขัดขวางอยู่แล้ว

นายน้อยจ้าวที่ความเงียบมีค่าดุจทองคำดูเหมือนจะยอมรับโดยปริยาย

ดังนั้น คุณหนูรองหานเลยไปเปลี่ยนเสื้อผ้า

ช่องว่างระหว่างรอคุณหนูรองหาน เจ้าบ้านหานก็ชักชวนทั้งสองดื่มสุราเป็นระยะๆ พูดชื่นชมโรงพรรณยาไปไม่น้อย และพูดชื่นชมโหลชีไปไม่น้อยเช่นกัน

"นายน้อย มาลั่วหยางครั้งนี้เพื่อตรวจตราการค้าของโรงพรรณยาหรือ?"โหลชีกล่าวถาม

"คุณชายเจ็ดสามารถเรียกข้าว่าจ้าวหยุนได้" ภายใต้หน้ากาก เสียงที่เข้มราวกับสุราดังขึ้นมาครั้งแรก โหลชีได้ยินเสียงนี้ก็ตกตะลึง

อันที่จริงคืนนี้นางคาดเดาอยู่ตลอดว่า นายน้อยจ้าวคนนี้ก็คือหยุนเฟิง เพราะรูปร่างของทั้งสองคล้ายกัน ความรู้ที่ให้นางก็คล้ายกัน หยุนเฟิงปรากฏตัวในเมืองลั่วหยางแห่งนี้ งานใหญ่ของโรงพรรณยาเขายังไม่ไปร่วมครื้นเครง แถมยังทำตัวลึกลับวันๆไม่รู้ว่าไปไหน หากบอกว่าเขายังต้องรับบทเป็นอีกคนหนึ่งเช่นนั้นก็ยังพอจะฟังดูสมเหตุสมผล

แต่ว่าตอนนี้นางได้ยินเสียงของจ้าวหยุน กลับแตกต่างไปจากหยุนเฟิง ก็ไม่รู้ว่านางเดาผิดไป หรือว่าหยุนเฟิงยังรู้จักการเปลี่ยนเสียง

"คุณชายเจ็ดกำลังคิดอะไรอยู่?" จ้าวหยุนเห็นนางตกอยู่ในภวังค์ ในแววตามีรอยยิ้มแวบขึ้นมาอีกครั้ง

"ข้ากำลังคิดว่า ไม่รู้ว่าภายใต้หน้ากากของพี่จ้าวหยุนเป็นใบหน้าหล่อเหลาโดดเด่น หรือเป็นใบหน้าจืดชืดน่าเกลียด"

จ้าวหยุนหัวเราะเสียงเบา

"ก็แค่หนังหน้าใบหนึ่งเท่านั้น"

ทันทีที่พวกเขาทั้งสองพูดคุยกัน คนอื่นๆในจวนตระกูลหานต่างก็มองดูด้วยสายตาเปล่งประกาย จ้าวหยุนเข้ามาใกล้โหลชีเล็กน้อย กล่าวด้วยเสียงต่ำ: "คุณชายเจ็ดรู้สึกหรือไม่ว่าตอนนี้เราสองคนเหมือนเนื้อชิ้นใหญ่สองชิ้น?"

โหลชีกวาดตามองครู่หนึ่ง ยิ้มออกมา: "แค่ไม่รู้ว่าพวกเขาคิดจะกินอย่างไร"

เวลานี้ ฮูหยินหานยกถ้วยสุราขึ้นมา ส่งสัญญาณจากระยะห่าง: "คุณชายจ้าว ข้าน้อยขอดื่มให้ท่านหนึ่งจอก ข้าน้อยมักจะซื้อยาที่โรงพรรณยาตลอดปี สองปีที่แล้วก็ได้โรงพรรณยาช่วยหายาดีให้ มิเช่นนั้นชีวิตของข้าน้อยคงจะจบสิ้นไปแล้ว ทุกครั้งที่ขอบคุณเถ้าแก่จู เถ้าแก่จูก็มักจะบอกว่าตอนนั้นท่านหายานั่นได้พอดี ควรจะขอบคุณท่าน เดิมทีข้าน้อยคิดว่าชาตินี้คงจะไม่มีโอกาสแล้ว ไม่เคยคิดว่าคุณชายจะมาลั่วหยาง สมดั่งที่ใจหวังแล้วจริงๆ คุณชายจ้าว ข้าน้อยดื่มหมดแก้วก่อนเพื่อแสดงความเคารพ"

ฮูหยินหานพูดจบ ก็ไม่ได้เปิดโอกาสให้จ้าวหยุนได้พูด ดื่มสุราถ้วยนั้นหมดในรวดเดียว

จ้าวหยุนยกถ้วยสุราขึ้นมา ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ดื่มสุราถ้วยนั้น

ทุกคนในจวนตระกูลหารก็ถือว่ามองออกแล้วว่า นอกจากคุณชายเจ็ดแล้ว คุณชายจ้าวคนนี้จะพูดด้วยมากหน่อย น้ำเสียงก็อ่อนโยน กับคนอื่นๆคือไม่มีอะไรจะพูด แทบจะเป็นท่าทางปฏิเสธคนอื่นให้ออกห่างไกลเกินพันลี้

เวลานี้ฮูหยินหานก็ถามขึ้นอีกว่า: "มีคำพูดประโยคหนึ่งที่ข้าน้อยอาจจะละลาบละล้วงไป แต่ก็ยังอยากจะถามคุณชายทั้งสองท่าน ที่บ้านมีคู่สมรสแล้วหรือไม่?"

โหลชีกับจ้าวหยุนส่ายหน้าพร้อมกัน กล่าวตอบว่า: "ไม่มี"

คนตระกูลหานตาเป็นประกายขึ้นมา

สายตาของฮูหยินหานกับเจ้าบ้านหานย่อมต้องมองไปทางจ้าวหยุนอยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าพวกเขาจะดูแคลนโหลชี ในความเป็นจริงพวกเขาให้ความสำคัญอย่างมาก แต่ว่าตัวตนของนางยังเป็นปริศนาอยู่มาก ใครก็ไม่รู้ว่าตกลงแล้วนางมาจากไหน และวงศ์ตระกูลเป็นเช่นไรกันแน่

แต่จ้าวหยุนนั้นแตกต่างออกไป โรงพรรณยา เฉพาะสาขาที่เมืองลั่วหยางแห่งนี้ก็สามารถทำเงินได้มากมายในทุกเดือน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงทั่วทั้งตงชิงกับเป่ยชางมีสาขามากมายขนาดนั้น!

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ