ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน นิยาย บท 5000

เมื่อเย่เฉินได้ยิน ภายในใจก็ตื่นตะลึง รู้ว่าองค์กรนี้แข็งแกร่งมาก แต่ไม่คิดว่าจะแข็งแกร่งกว่าที่ตัวเองคิดเอาไว้

จากนั้น เขาก็รวบรวมสติ และถามต้วนลี่เย่“ แล้วองครักษ์เสื้อแพรนี้คืออะไร?”

ต้วนลี่เย่ตอบ “องครักษ์เสื้อแพรถึงจะไม่ใช่ข้ารับใช้ของผู้มีพระคุณ แต่ก็รับคำสั่งของผู้มีพระคุณโดยตรง หลังจากที่พวกเขาออกจากค่ายฮูเบน ก็จะถูกวางตัวไปยังที่ต่างๆทั่วโลกด้วยสถานะอื่น รายละเอียดที่มากกว่านี้ผมเองก็ไม่รู้แล้ว”

พูดจบ ต้วนลี่เย่ก็พูดต่อ “ที่นครนิวยอร์กในครั้งนั้น เป็นเพราะเป้าหมายที่ต้องลอบสังหารนั้นมีอิทธิพลมากเกินไปในสหรัฐอเมริกา และภารกิจในครั้งนั้นคือต้องฆ่ายกครัว หากทำสำเร็จ เรื่องนี้จะต้องเป็นข่าวโด่งดังไปทั่วโลก ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกเปิดเผยตัวตน เมื่อต้องเจอกับงานที่จะดึงดูดความสนใจจากคนทั้งโลกแบบนี้ องค์กรจะไม่ส่งผู้เก่งกาจวิชาบู๊ไป แต่จะส่งทหารหน่วยกล้าตายไปแทน”

“ความเก่งกาจของทหารหน่วยกล้าตายแม้จะไม่เทียบเท่ายอดฝีมือแดนมืด แต่ด้วยอาวุธต่างๆที่มีการพัฒนา พวกเขาก็มีหน่วยรบพิเศษของตัวเองเหมือนกัน โดยพื้นฐานแล้วความสามารถก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้เก่งกาจวิชาบู๊เลย ดังนั้นให้พวกเขาไปจัดการ หากทำสำเร็จ ก็สามารถเบี่ยงเบนความสนใจของผู้คนได้ ให้ทุกคนคิดว่าเป็นฝีมือของมือสังหาร ทหารรับจ้าง หรือจะเป็นพวกหัวรุนแรงติดอาวุธ ยังไงก็เชื่อมโยงมาไม่ถึงผู้เก่งกาจวิชาบู๊ได้ แบบนี้ก็ทำให้องค์กรไม่ต้องตกอยู่ในภาวะเสี่ยงอีกด้วย ”

พูดจบ ต้วนลี่เย่ก็พูดต่อ“และที่ในยุโรปเหนือครั้งนั้น มันสุดวิสัยจริงๆ ครั้งนั้นจู่ๆก็ได้ข่าวกรองมาอย่างกะทันหัน มีเวลาเตรียมตัวก่อนออกเดินทางแค่ไม่กี่ชั่วโมง และในตอนนั้นเรามีเครื่องบินอยู่ที่ไซปรัสพอดี ดังนั้นองค์กรก็จึงส่งทหารม้ากล้าที่นั่นไป ”

“นอกจากนี้ ข้อมูลข่าวกรองที่องค์กรได้รับมาก็ค่อนข้างจะไม่สมบูรณ์ ข่าวกรองที่ได้มาจากผู้ติดตามของบุคคลที่เป็นเป้าหมาย เขาส่งข้อมูลมาว่า ในบรรดาพวกเขาผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเป็นแค่นักบู๊ห้าดาว และมีแค่คนเดียวเท่านั้น ความเก่งกาจของทหารม้ากล้าแปดคน ต่อให้เป็นนักบู๊ห้าดาวทั้งแปดคนก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขา บวกกับศัตรูอยู่ในที่แจ้งเราอยู่ในที่ลับ ไม่มีทางล้มเหลวได้อย่างแน่นอน ดังนั้นก็จึงส่งตัวพวกเขาไป ไม่คิดว่าจะตายหนึ่งแล้วหายตัวไปเจ็ดคน……”

เย่เฉินคิดถึงหลินหว่านเอ๋อร์ และคิดถึงแหวนที่หลินหว่านเอ๋อร์ให้ตัวเองมา เอ่ยถามต้วนลี่เย่“ที่ยุโรปเหนือในครั้งนั้นคุณรู้มากน้อยแค่ไหน?แล้วหลินหว่านเอ๋อร์คนนั้นเป็นใคร คุณรู้ไหม?”

ต้วนลี่เย่ส่ายหัวและพูดว่า“ผมไม่รู้จักหลินหว่านเอ๋อร์อะไรนี่ และที่ยุโรปเหนือในครั้งนั้น ผมรู้แค่ว่าเป็นคนที่ผู้มีพระคุณชี้ตัวมา ตั้งแต่ที่ผมเข้ามาอยู่ในองค์กรนี้กว่าหลายปี นี่เป็นครั้งแรก ส่วนเรื่องอื่น ผมก็ไม่รู้แล้ว……”

คำอธิบายของต้วนลี่เย่ทำเอาเย่เฉินสงสัยในตัวตนของหลินหว่านเอ๋อร์มากยิ่งขึ้น

และเขาก็รู้สึกเสียใจ

เสียใจที่ไม่น่าจะปล่อยให้หลินหว่านเอ๋อร์กับปู่ของเธอไป

แม้ในความคิดของเขา ตัวเองจะได้ใช้จุดสังเกตทางจิตวิทยาไปแล้ว ปู่กับหลานสองคนคงไม่ได้มีอะไรปิดบังตัวเองอีก แค่ในตอนนั้นเวลากระชั้นชิดเกินไป ตัวเองไม่มีเวลามากพอกับโอกาสที่จะได้ถามอะไรที่มากกว่านั้น

แต่มาเสียใจตอนนี้ก็สายเกินไปแล้ว ทำได้เพียงสอบถามข้อมูลที่มีค่าจากต้วนลี่เย่คนนี้ให้ได้มากที่สุดแล้วเท่านั้น

ดังนั้น เย่เฉินก็มองไปยังต้วนลี่เย่ แล้วซักไซ้เขาต่อ“คุณรู้ไหม ว่าทำไมผู้มีพระคุณของพวกคุณถึงต้องการตัวเธอ? เพราะตัวเธอเอง หรือเพราะสิ่งของที่อยู่บนตัวเธอ ?”

ต้วนลี่เย่ส่ายหน้า“เรื่องนี้ผมไม่รู้ แม้แต่เบื้องบนของผมในตุรกีก็ไม่รู้เรื่องเหมือนกัน เรารู้แค่ว่า ภารกิจที่ส่งมอบมาให้พวกเราหน่วยบัญชาการกองทัพขวาในครั้งนี้ เป็นโอกาสทองอย่างที่สุด เพราะหากภารกิจนี้สำเร็จ ผู้มีพระคุณจะตกรางวัลให้อย่างงาม แต่น่าเสียดายเพราะท้ายที่สุดมันก็ล้มเหลว ”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน