ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 411

"เสี่ยวหมิ่นคิดว่า พวกเราควรจะเดินหน้าต่อหรือถอยกลับไปดี "นางเคลื่อนสายตาออกไป ถามขึ้นมาเบาๆ

บางทีอาจเป็นเพราะทุกสิ่งทุกอย่างข้างหน้ามันน่าตกใจเกินไปจริงๆ ทำเอาจางเสี่ยวหมิ่นตกใจจนควบคุมไม่ได้อยู่บ้าง น้ำเสียงของเขาแฝงความร้อนใจอยู่บ้าง "พระสนม ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเขาเล็กเคยบอกไม่ใช่หรือว่าเมื่อร้อยปีก่อนที่นี่เคยมีเทพเซียนพิโรธไม่ใช่หรือ เป็นไปได้หรือไม่ว่าที่นี่จะเคยมีเซียนมาอาศัยอยู่จริง เพราะฉะนั้นจึงทิ้งดินแดนมหัศจรรย์ไว้ในโลกมนุษย์ซึ่งไม่มีทางเกิดขึ้นได้ แสงที่อยู่ข้างหน้า ใช่สมบัติล้ำค่าของท่านเซียนหรือไม่ ถ้าหากพวกเราจะกลับไปตอนนี้ ก็น่าเสียดายเกินไปกระมัง"

เขาชะงักไป เหมือนนึกขึ้นได้ว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังพูดอยู่ไม่ค่อยสมเหตุสมผลสักเท่าไหร่ จึงพูดเสริมขึ้นว่า "แน่นอนว่า ที่สำคัญที่สุดก็คือสัตว์น้อยตัวนั้น พระสนมเคยบอกไม่ใช่หรือว่าต้องจับสัตว์น้อยตัวนั้นให้ได้"

"อืม ข้าเคยบอกเช่นนั้นจริงๆ "โหลชีจ้องมองความว่างเปล่าอันน่าตกตะลึงที่อยู่ตรงหน้า ถามขึ้นว่า "แล้วเจ้าคิดว่า จะข้ามตรงนี้ไปได้อย่างไร "

"เหยียบก้อนหินเพื่อกระโดดไป น่าจะได้ ใช่แล้ว หลินเสิ้งเวย ข้าจำได้ว่าวิชาตัวเบาของเจ้าดีมาก ......"

หลินเสิ้งเวยมองไปทางโหลชี "พระสนม ข้าน้อยขอลองดูก่อน"

โหลชีส่ายหน้า "ให้เสี่ยวหมิ่นไปดีกว่า ข้าดูเจ้าไม่คล่องแคล่วปราดเปรียวเท่ากับเสี่ยวหมิ่น เสี่ยวหมิ่น เจ้าลองไปก่อน"

"พระสนม ..." จางเสี่ยวหมิ่นคิดไม่ถึงว่าเขาจะต้องเป็นคนแรกที่ต้องไปลอง เขากัดฟัน แต่ก็ก้าวขาออกไป

แต่ในขณะที่พวกโหลชีคิดว่าเขาจะกระโดดไปยังก้อนหินที่ใกล้ที่สุดก้อนหนึ่ง ทันใดนั้นเขาก็ลงมือ รวดเร็วราวสายฟ้าฟาด จับตัวคนคนหนึ่งเอาไว้ทันที โยนคนคนนั้นไปยังก้อนหินที่ลอยเคว้งอยู่กลางอากาศเหล่านั้น

การเคลื่อนไหวของเขาเร็วมาก ที่สำคัญคือไม่มีใครคิดว่าเขาจะใช้ไม้นี้ และประเมินวรยุทธของเขาต่ำไป ฉะนั้นตอนที่ได้สติ คนคนนั้นได้ถูกเขาโยนออกไปแล้ว

แม้ว่าโหลชีจะสังเกตถึงความผิดปกติของเขาได้อยู่บ้างเล็กน้อย แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะลงมือด้วยวิธีนี้ อีกอย่างทหารที่ถูกเขาโยนออกไปคนนั้นน่าจะประหลาดใจกับภาพตรงหน้ามาก จึงได้เบียดขึ้นมาข้างหน้าอย่างไม่รู้ตัว และอยู่ห่างจากจางเสี่ยวหมิ่นไม่ไกลมากนัก ส่วนโหลชีอยู่ห่างออกไปบ้าง ตรงกลางยังมีหลินเสิ้งเวยคั่นอยู่ แม้ต้องการจะช่วยก็ไม่ทันแล้ว

"อ๊าก"

ทหารคนที่ถูกโยนออกไปร้องเสียงดังออกมาทันที เสียงนั้นดังก้องไปทั่วทั้งเวิ้งแห่งความว่างเปล่าที่กว้างใหญ่ เสียงกระจายไปในชั่วครู่ เห็นได้ชัดว่าน่าประหลาดใจอยู่บ้าง

มือของโหลชีก็นับว่าเร็วมาก ตอนที่เขาถูกโยนออกไปนางได้ดึงแส้ปลิดวิญญาณออกมาแล้ว จะทำการม้วนตัวของทหารคนนั้นกลับมาทันที แต่ว่าแส้ยังไม่ทันจะไปถึงตัวของทหารคนนั้น จางเสี่ยวหมิ่นก็ยกฝ่ามือดีดนิ้วออกไป ปรากฏว่าทำให้แส้ปลิดวิญญาณถูกดีดจนห่างจากตัวทหารคนนั้นออกไปเล็กน้อย การพลาดครั้งนี้ ทำให้ทหารคนนั้นตกลงไปกระแทกกับก้อนหินก้อนใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าเสียงดังโครม อีกทั้งแรงกระแทกค่อนข้างรุนแรง ทำให้เกือบจะลื่นตกไปลงด้านล่าง เขาร้องเสียงดัง ใช้ทั้งมือทั้งเท้า เกาะก้อนหินก้อนใหญ่นั้นเอาไว้แน่น ไม่ง่ายเลยกว่าจะประคองให้ร่างของตัวเองมั่นคง

เห็นอย่างนี้แล้ว โหลชีก็ละสายตา หันไปมองทางจางเสี่ยวหมิ่น

" คิดไม่ถึงเลยว่า แค่คัดเลือกส่งๆในค่ายทหารของข้า ยังสามารถคัดเอาคนฝีมือยอดเยี่ยมออกมาได้ "มุมปากของนางมีรอยยิ้มจางๆผุดขึ้นมา ก็ไม่รู้ว่ายิ้มให้กับ "ความโชคดี"ของตัวเอง หรือยิ้มให้กับ "ความโชคดี" ของอีกฝ่าย

คนคนนี้ต้องไม่ธรรมดาแน่นอน การให้นิ้วดีดเมื่อครู่ทำให้นางรู้สึกตกใจเล็กน้อย ถ้านางใช้แส้ปลิดวิญญาณ ย่อมมีไอสังหารแฝงอยู่ด้วย การแตะต้องด้วยมือเปล่า ถ้านิ้วมือไม่ขาดก็ต้องถูกบาดจนมีเลือดออก แต่คนคนนี้แค่สั่นเล็กน้อยตรงปลายนิ้วเท่านั้น

วรยุทธของเขา อยู่เหนือกว่านาง

ในใจของโหลชีไม่ได้รู้สึกไม่พอใจ ก่อนอื่นก็เป็น เฮ่อเหลียนเจี๋ย ที่มีวรยุทธเหนือนาง ตอนนี้เพิ่มมาอีกหนึ่งคน ที่มีวรยุทธเหนือนาง ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้รู้สึกไม่ค่อยสบายใจมากจริงๆ

"คิดไม่ถึงว่า ในตัวของพระสนมจะมีของดีเช่นนี้อยู่ด้วย "จางเสี่ยวหมิ่นยิ้มขึ้นมาทันที มองดูแส้ปลิดวิญญาณที่อยู่ในมือของนาง ในสายตามีแววอบอุ่นจริงใจวาบผ่าน"ขอพูดอย่างไม่ปิดบัง ข้าน้อยถนัดวิชาการใช้แส้ที่สุด ถ้าหากท่านมอบแส้นี้ให้ข้าน้อย จากนั้นข้าน้อยค่อยมอบแส้อีกหนึ่งชนิดให้พระสนม ดีหรือไม่ แส้ที่อยู่บนตัวข้าน้อย ก็มีพลังที่หนาแน่นมาก รับประกันว่าถ้าพระสนมได้ลองใช้แล้วจะติดใจแน่ "

โหลชีไม่ใช่คุณหนูผู้ดีที่ไร้เดียงสาในยุคนี้ ไหนเลยจะฟังไม่ออกว่าเจ้าคนรับใช้คนนี้กำลังคุยโม้โอ้อวดอยู่ ใช้คำพูดมาหยอกล้อนางหรือ

พวกหลินเสิ้งเวยต่างก็เป็นคนที่ออกมาจากค่ายทหาร แต่ไหนแต่ไรมาทหารในค่ายได้แต่ฝึกฝนอย่างหนักทุกวัน การเล่าเรื่องขำขันก็เป็นวิธีการคลายความเบื่อหน่ายวิธีหนึ่ง ฉะนั้นพวกเขาต่างก็เข้าใจ และโมโหจนหน้าดำหน้าแดงทันที ไหนเลยจะไม่รู้ว่าจางเสี่ยวหมิ่นคนนี้มีสถานะไม่ธรรมดา และเกรงว่าโหลชีจะถูกเขาทำให้โมโหเสียอารมณ์

ไหนเลยจะรู้ว่าโหลชีก็แค่กวาดตามองจางเสี่ยวหมิ่นแวบหนึ่งอย่างไม่พอใจเท่านั้น "เดิมทียังคิดว่าเจ้าฉลาดปราดเปรียว ที่แท้ก็เป็นแค่เด็กสารเลวที่ไร้การอบรมสั่งสอนเท่านั้น เจ้าออกมาวิ่งเล่นอย่างนี้ แม่เจ้าไม่ร้อนใจแย่แล้วหรือ"

นางสังเกตดูอย่างละเอียด ตอนที่จางเสี่ยวหมิ่นแสดงสีหน้าออกมาใบหน้าเป็นธรรมชาติมาก ไม่แข็งกระด้าง แสดงให้เห็นว่าบนใบหน้าของเขาไม่ได้สวมหน้ากากหนังมนุษย์เพื่อแปลงโฉมแต่อย่างใด นี่เป็นหน้าตาดั้งเดิมของเขา แต่ว่ามองดูแววตาที่เขาเผยออกมาในตอนนี้ กลับดูไม่เหมือนคนที่มีอายุน้อยเหมือนที่ตาเห็น ฉะนั้นนางจึงได้หยั่งเชิงด้วยวิธีนี้

ในแววตาของคนคนนี้มีแววแห่งความโลภและอยากแย่งชิงผุดขึ้นมาเสมอ ดูแล้วแม้ว่าวรยุทธจะสูงส่ง ก็ใช่ว่าอารมณ์จะสูงตามไปด้วย

เป็นดังคาด ได้ยินนางพูดเช่นนี้ ใบหน้าของจางเสี่ยวหมิ่นก็มีความโมโหผุดขึ้นมา เขาจ้องนางด้วยสายตาเย็นชา พูดว่า "สาวน้อย ต่อหน้าข้าอย่ามาอวดดี ตอนที่ข้าท่องไปในยุทธภพ ไม่รู้ว่าเจ้ายังเล่นดินเล่นทรายอยู่ที่ใดกัน "

"เอ๋ ไอ้เด็กเสี่ยวหมิ่นไม่ใช่ชายหนุ่มเยาว์วัยเต็มกำลังหรอกหรือ"

มองดูใบหน้าหยอกล้อทั้งท่าทีและน้ำเสียงของยัยหนูคนนี้ ทำเอา จางเสี่ยวหมิ่นที่เดิมทีคิดจะเป็นฝ่ายหยอกล้อนางเกือบจะหายใจไม่ออก ใบหน้าเขานิ่งขรึมลง พูดด้วยเสียงเย็นชา "ข้าจะอายุสี่สิบ......"

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ