ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 412

"ไอ้เด็กจาง เจ้าก็ไปเลย สมบัติทั้งหลายล้วนเป็นของเจ้า ข้าไม่ขอมีส่วนร่วมด้วย"

โหลชีพูดแล้วก็ถอยหลังไปยังด้านนอกถ้ำ

"พระสนม......"หลินเสิ้งเวยลังเลอยู่ชั่วครู่ พระสนมจะไม่ไปดูทางนั้นจริงหรือ เช่นนั้นก็น่าเสียดายมาก ทำไมต้องเสียเปรียบเจ้าสารเลวนั่นด้วย

พวกหลินเสิ้งเวยต่างก็เกลียดจางมิ่งมาก คนที่อายุใกล้จะสี่สิบปีแล้วยังมีใบหน้าที่อ่อนเยาว์เหมือนหนุ่มน้อย ยังหลอกพวกเขามาเป็นเวลานานอีกด้วย ตอนนี้มาคิดดูแล้วช่างน่ารังเกียจจริงๆ

โหลชีกลับส่งสัญญาณมือให้พวกเขา ให้พวกเขาถอยไปทางด้านทันที

จางมิ่งคิดไม่ถึงเลยสักนิดว่าโหลชีจะสามารถต้านทานแรงดึงดูดของแสงทองวิบวับและสัตว์น้อยตัวที่อยู่ทางนั้นได้ ไม่คิดที่จะไปสำรวจหาของมีค่าเลยด้วยซ้ำ ทำให้รู้สึกนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ จากนั้นดวงตาก็เกิดความขุ่นมัวขึ้นมาอย่างกะทันหัน ทันใดนั้นก็คิดจะฟาดฝ่ามือไปยังทหารที่เพิ่งจะถูกเขาโยนออกไปยังก้อนหินที่อยู่ข้างๆ "ถ้าเช่นนั้น ข้าจะฆ่าเจ้าหนุ่มคนนี้ก่อน ......"

เมื่อครู่นางต้องการจะช่วยทหารคนนี้ เขาไม่เชื่อว่านางจะทิ้งคนคนนี้เอาไว้ที่นี่โดยไม่สนใจ และพาคนที่เหลืออีกหกคนไปเท่านั้น

แต่ทันใดนั้นเขาก็พบว่าตัวเองคิดผิดอีกแล้ว

โหลชีก็หันหน้ามายิ้มหวานให้เขาอีกครั้ง "ไอ้เด็กจาง คนของเจ้า อยากฆ่าก็ฆ่าเถอะ ไม่ต้องเกรงใจ เจ้าอยากจะเอาไปนิ่งซีอิ๊ว จะเอาไปทำเนื้อน้ำแดง หรือจะปัดเขาทิ้งลงไปในความว่างเปล่าเลยก็ดีนะ ทั้งสะอาดและไม่ยุ่งยาก"

ไม่เพียงแต่จางมิ่งที่นิ่งอึ้ง ทหารคนนั้นก็อึ้งตามไปด้วย แม้แต่พวกหลินเสิ้งเวยก็ตกตะลึงไปตามๆกัน

ทหารอีกคนหนึ่งที่ชื่อหวูเสี้ยวหยู่สายตาเผยความไม่พอใจ พูดกับโหลชีว่า "พระสนม อากว๋อเขา......"

พวกเขาต่างก็คิดว่าเป็นเพราะโหลชีไม่มีทางช่วยทหารคนนั้นได้แล้ว ฉะนั้นจึงได้เลือกที่จะทิ้งเขาเอาไว้ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจางมิ่งจะกัดฟันถลึงตาจ้องมองโหลชีขึ้นมาทันที "เจ้าดูออกได้อย่างไรว่าเขาเป็นคนของข้า"

โหลชีกะพริบตา "ไอ้เด็กจาง เจ้าคิดว่าข้าโง่หรืออย่างไร ถ้าหากเจ้าต้องการฆ่าเขา คงฆ่าเสียตั้งนานแล้ว ไหนเลยจะต้องมาทำท่าทางอยู่ตั้งนานแต่ไม่ลงมือสักที ก่อนหน้านี้ที่เจ้าถูกข้าบีบให้ไปอยู่บนก้อนหินอย่างช่วยไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าก้อนหินก้อนที่เขาอยู่นั้นเป็นก้อนที่อยู่ใกล้ที่สุดและใหญ่ที่สุด ในสถานการณ์เช่นนั้น ถ้าหากพวกเจ้าเป็นศัตรูกัน และวรยุทธของเจ้าก็สูงส่งกว่าเขามากนัก ย่อมต้องกระโจนเข้าไปและเตะเขาลงไป แต่เจ้ากลับยอมให้เขาอยู่บนหินก้อนนั้น ตัวเองกลับเลือกก้อนที่เล็กที่สุด"

"จุ๊ ตอนนี้ยังจะมาแสดงเป็นไก่ทองยืนขาเดียวอีก ต้องบอกว่า ความอ่อนโยนเอาใจใส่ของเจ้า ทำเพื่อเขาอย่างสุดหัวใจ ช่างทำให้รู้สึกซาบซึ้งใจมากจริงๆ พวกข้าไม่ขอรบกวนเจ้าทั้งสองแล้ว ขอให้เจ้าทั้งสองความรักมั่นคง อยู่กันจนแก่เฒ่า"

ฟู่

เดิมทีพวกหลินเสิ้งเวยที่ถูกความจริงในเรื่องนี้ทำเอาตกตะลึงอยู่ อดไม่ได้ที่จะหลุดเสียงหัวเราะออกมา

คิดไม่ถึงเลยว่า คนที่อยู่ร่วมกับพวกเขาทุกวัน จะมีสองคนที่เป็นคนทรยศ เดิมทีควรจะรู้สึกโกรธมาก แต่พอได้ยินคำพูดของโหลชี พวกเขาก็เอาแต่หัวเราะขำ ไหนเลยจะนึกถึงเรื่องโมโหขึ้นมา เพราะว่า เห็นใบหน้าของพวกเขาสองคนที่แดงก่ำจนแทบจะกระอักเลือดออกมาหลังจากที่ถูกพระสนมของพวกเขายั่วโมโห ช่างสะใจเสียจริง

ทหารคนนั้นถูกโหลชีเปิดโปง แบกใบหน้าที่แดงก่ำเอาไว้ ไม่แสดงละครอีกต่อไป ลุกขึ้นยืนบนก้อนหิน พูดกับจางมิ่ง "ท่าน ข้าน้อยจะฆ่าคนชั้นต่ำคนนั้นเอง"

"หุบปาก"จางมิ่งตะคอกใส่เขา หันหน้าไปมองโหลชี "สาวน้อย ทางที่ดีเจ้ามาเองจะดีที่สุด ไม่อย่างนั้นถ้าให้ข้าลงมือเองจะไม่มีการปรานีอย่างเด็ดขาด ข้ารู้ว่าวรยุทธของเจ้าไม่เลว ในระยะห่างเช่นนี้ข้าอาจจะฆ่าเจ้าไม่ได้ แต่เจ้าต้องคิดให้ดี คนที่จะฆ่าเจ้าหนุ่มที่อยู่ข้างกายเจ้าเหล่านั้นยังมีอีกเหลือเฟือ "พูดแล้ว เขาก็ยื่นมือออกไปทำท่าคว้าความว่างเปล่ากลางอากาศ ทหารคนหนึ่งไม่ทันระวังตัว ก็ลื่นไถลไปทางเขาทันที ร่วงหล่นลงไปด้านล่างอย่างรวดเร็ว

เขาบอกจะลงมือก็ลงมือเลย โหลชีไม่ทันจะได้ตั้งตัว เมื่อนางออกแส้ ก็ช้าไปก้าวหนึ่งแล้ว

ทหารคนนั้นร่วงลงไปในความว่างเปล่า สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่าเขาถูกความมืดมิดค่อยๆกลืนกินเข้าไป

ดูไม่ออกว่าความมืดมิดนั้นคืออะไร ไม่เหมือนหมอกควัน ไม่เหมือนของเหลว เบาหวิว เหมือนเป็นแค่สีคำธรรมดาอย่างหนึ่งเท่านั้น กลบทหารคนนั้นไปจนมิด จากนั้นก็ไร้ซึ่งร่องรอย

นอกจากความโมโหแล้วโหลชีก็อดที่จะตกตะลึงไม่ได้ นี่มันคืออะไรกันแน่

ในใจนางโกรธเคืองมาก ต่อหน้านาง มีคนของตนเองตายไปเช่นนี้ คนเหล่านี้เป็นไปได้ว่าจะเป็นยอดฝีมือในอนาคต แต่ต้องมาตายเช่นนี้

เจ้าสัตว์ประหลาดที่ไม่รู้จักแก่ตัวนี้ จางมิ่งเหมือนได้ตอบโต้กลับแล้ว รู้สึกได้ใจมาก และพูดกับโหลชีว่า"เจ้าก็ไม่ต้องคิดจะหนีแล้ว เจ้าหนีได้ แต่ความเร็วของพวกเขาสู้ข้าไม่ได้ "

"พระสนมท่านรีบหนีไปเถอะ ไม่ต้องสนใจพวกข้า"หลินเสิ้งเวยพูดแล้วก็ออกไปยืนบังอยู่หน้านาง

โหลชีกลับส่ายหน้าให้เขา เดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว จางมิ่งพูดถูก ตัวนางเองอาจจะสามารถหนีเอาชีวิตรอดได้ แต่ว่าลูกน้องของนางทั้งหกคนคงหนีไม่พ้น วรยุทธของจางมิ่งแข็งแกร่งกว่าพวกเขามากนัก

อีกอย่าง เดิมทีนางเองก็ยินดีจะปล่อยโอกาสที่จะไปสำรวจยังอีกฝั่งของความว่างเปล่าไป อีกทั้ง สัตว์น้อยตัวนั้นนางก็ไม่อยากจะปล่อยไปเช่นนี้

เมื่อครู่นางใช้วิธีการถอยเพื่อรุก ก็เพราะว่าไม่เต็มใจจะดูเจ้าคนวิปริตเสแสร้งแกล้งทำต่อหน้านางอีกต่อไป เห็นได้ชัดว่าเป็นคนที่มีความคิดสุขุม แต่กลับแกล้งทำเป็นคนยิ้มแย้มใจดี ทำเป็นตื้นเขินไม่รู้อะไร นางเองก็ชินกับการแสดงเสแสร้ง แต่กลับไม่อยากเห็นคนอื่นมาทำการแสดงต่อหน้า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเจ้าปีศาจเฒ่าที่อายุใกล้จะสี่สิบปีแล้วแต่ใบหน้ายังคงอ่อนเยาว์เหมือนคนอายุสิบเจ็ดสิบแปดปีคนนี้

เขาจะทำการแสดง แต่นางจะทำลายแผนการนี้ของเขา เพราะนางคิดว่าที่เขาแสดงเช่นนี้ต้องมีจุดประสงค์อะไรแน่

แผนการของจางมิ่งถูกโหลชีทำให้ปั่นป่วนวุ่นวายไปหมด เขารู้สึกอึดอัดใจแทบตาย เดิมทีเขาไม่อยากจะมาที่นี่ด้วยตนเองอยู่แล้ว เพราะสถานที่แห่งนี้พิลึกเกินไป เขารักตัวกลัวตายมาแต่ไหนแต่ไร ไหนเลยจะยินดีให้ตัวเองไปเสี่ยงอันตราย แต่ว่าโหลชีได้บีบให้เขาต้องขึ้นมาอยู่บนหินก้อนนี้โดยที่เขาไม่ทันจะตั้งตัว เรื่องนี้ได้ทำให้เขารู้สึกโกรธอยู่ในใจเป็นอย่างมากแล้ว

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ