ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 398

เฉินซ่าไม่รู้ว่าโหลชีกลับไปไหน แต่ดูจากของที่นางนำมาด้วย ใจเขาร้อนรนนัก เพราะเขาไม่เคยเห็นของพวกนั้นมาก่อน เมื่อก่อนเขายังหลอกตัวเอง บางทีนางอาจจะมาจากแผ่นดินใหญ่หลงหยิน หรือแผ่นดินใหญ่หลงหยินเป็นแบบนี้ เพียงเพราะที่นั่นมีวิทยายุทธ์พิเศษที่สามารถทำให้นางไปที่ไหนก็ได้ หล่นลงมาจากฟ้าได้

แต่หลังจากพบเจอเฮ่อเหลียนเจี๋ยเขาก็เข้าใจ บางทีทางแผ่นดินใหญ่หลงหยินอาจจะมีหลายสิ่งที่ดีกว่าแผ่นดินใหญ่ซื่อฟาง สภาพแวดล้อมก็ดีกว่า แต่ไม่มีอย่างโหลชีนี้แน่ อย่างน้อยเสื้อผ้าของพวกเขาก็เหมือนกับทางนี้ วิทยายุทธ์ของพวกเขาก็ไม่มีทางแปลกประหลาดเพียงนี้ พวกเขาเองก็สร้างสิ่งนั้นที่โหลชีเอามาไม่ได้

เขาไม่สนใจเรื่องโหลชีมาจากไหนได้ แต่เขากลัว กลัวว่าสถานที่นั้นเขาไปไม่ได้ หาไม่เจอ ถ้าเป็นแบบนี้ก็ไม่เป็นไร แค่นางกลับไปไม่ได้ก็พอแล้ว

แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน นางกลับไปอีกแล้ว!

และยังกลับไปในตอนที่เขาไม่รู้ ไม่อยู่ข้างกายอีกด้วย!

แล้วถ้าเกิดนางไม่กลับมาอีกแล้วล่ะ?

ขนาดจะไปตามหานางที่ไหนเขาก็ไม่รู้!

ดังนั้นครั้งนี้เขาต้องถามให้แน่ชัด ต้องถาม

สายตาเฉินซ่าทุ้มลึกไร้ใครเทียม ในนั้นโหลชีกลับมองเห็นประกายความหวาดหวั่น นางใจอ่อนยวบ

"เฉินซ่า ข้าเหมือนจะไม่เคยเล่าเรื่องนักพรตเลวกับท่านมาก่อนเลย"

"ใครอยากฟังเรื่องเขากัน" เขาไม่ฟังเรื่องคนอื่น ต่อให้คนนั้นเป็นพ่อบุญธรรมของนาง เป็นอาจารย์ของนางก็ตาม

แต่โหลชีจะพูด ไม่งั้นนางไม่รู้จะเริ่มอธิบายจากตรงไหน ก่อนหน้านี้เคยบอกเขานิดหน่อย บวกกับครั้งก่อนในเขตหวงห้ามของเผ่าชักมังกร เพราะนางสามารถแก้ค่ายกลที่ซวนหยวนจ้านใช้สายเลือดตระกูลซวนหยวนวางไว้ได้ ดังนั้นเขาเลยเดาได้ว่านางน่าจะเกี่ยวข้องกับตระกูลซวนหยวน

เพียงแต่ว่า จนถึงตอนนี้นางเองถึงพึ่งจะรู้ชาติกำเนิดตนเองขึ้นมาหน่อย เฉินซ่าจะรู้ได้ยังไง ครั้งนี้กลับไป นางถึงได้รู้ว่านักพรตเลวเป็นอาของตนเอง

"ฟังแล้วท่านถึงจะเข้าใจ"

เฉินซ่าขมวดคิ้ว "จำใจฟังก็ได้"

โหลชีโกรธแต่ก็ขบขัน นี่ถึงกับต้องจำใจ?

"อันดับแรกพูดเรื่องราชวงศ์ซวนหยวนแห่งแผ่นดินใหญ่หลงหยิน ตอนนั้นจักรพรรดิซวนหยวนมีลูกชายสามคน ซวนหยวนจ้าน ซวนหยวนอี้ ซวนหยวนคง นักพรตเลวเป็นคนที่สาม ส่วนพ่อของซู่ฉงโจวคือซวนหยวนอี้ซึ่งเป็นคนที่สอง นักพรตเลวบอกว่าพ่อแท้ๆของข้าคือซวนหยวนจ้าน"

"เดี๋ยวก่อน" เฉินซ่าสีหน้ามืดดำทันที "เจ้าพูดว่าซู่ฉงโจว? เจ้าหมายความว่า เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องข้างพ่อของเจ้า?"

โหลชีอึ้งไปเหมือนกัน

นางแทบไม่เคยคิดด้านนี้เลย แต่พอเฉินซ่าทักขึ้นมา นางถึงพึ่งนึกได้ว่า ซู่ฉงโจวเคยบอกไว้ว่า แม่เขาคือองค์หญิงเฉินเซียงแห่งราชวงศ์เฉิน? เขากับเฉินซ่าเป็นลูกพี่ลูกน้องข้างแม่ งั้นนางกับเฉินซ่า...เป็นอะไรกัน?

เดิมทั้งสองคนเรียกว่าฉลาดอันดับต้นๆ ตอนนี้ก็โดนความสัมพันธ์ที่สับสนนี่ทำเอามึนไปหมดแล้ว

โหลชีมึนอยู่ครู่หนึ่งก่อนถามเขา "ยังไงซะพวกเราก็ไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด แต่ลำดับขั้น?"

องค์หญิงเฉินเซียงเป็นแม่ของซู่ฉงโจว งั้นก็เป็นอาหญิงของเขา

พ่อของซู่ฉงโจวเป็นอารองของนาง

อย่างมากนางกับเฉินซ่าถือว่าเป็นเครือญาติเกี่ยวดอง แต่ไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดแน่นอน และยังเป็นชั้นเดียวกัน โชคดีไป

ถ้าคุยไปคุยมาพวกเขาดันบอกว่า ความจริงแล้วพวกเขาเป็นพี่น้องกัน ไม่ว่าจะลูกพี่ลูกน้องข้างพ่อข้างแม่หรือว่าพี่น้องกันแท้ๆ มันก็เป็นเรื่องไร้สาระอันยิ่งใหญ่อยู่ดี

นางไม่ชอบเรื่องไร้สาระอันยิ่งใหญ่อย่างนั้น

ยังไงซะรู้ว่าพวกเขาไม่มีความเกี่ยวพันทางสายเลือดก็พอแล้ว เฉินซ่าแอบถอนหายใจโล่งอก แต่ยังคงพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า "ต่อให้เจ้าเป็นน้องสาวข้า ข้าเลือกเจ้าแล้ว แล้วยังไงล่ะ?"

โหลชีทนไม่ไหวถลึงตาใส่เขา "ถ้าข้าเป็นน้องสาวท่านจริง ท่านยังกล้าจะเอาข้าเป็นเมียจริงรึ?"

ร่างท่อนบนของเขาแนบลงไปหานาง กลิ่นอายบุรุษแรงกล้ากระทบเข้ากับจมูกและสมองของนางทำเอาใจเต้นผิดไปหนึ่งจังหวะ น้ำเสียงเขานุ่มลึก "ทำไมจะไม่กล้า? ชีชี หากเจ้าเป็นน้องสาวแท้ๆของข้าจริง ข้าจะกินเจ้าเสียก่อน! ถึงเวลานั้นข้าวสารกลายเป็นข้าวสุกแล้ว เจ้าคิดหนีก็ไม่ทันแล้ว"

โหลชีหน่ายใจ ผลักเขาออกทันที "ทุเรศ" ทุเรศถึงขีดสุดละ "พูดต่อ" เฉินซ่ากลับจูบที่ขมับนางหนักๆหนึ่งทีก่อนดึงตัวกลับมานั่งพิงหัวเตียง

จากนั้นโหลชีก็เล่าเรื่องที่นักพรตเลวเล่าให้นางฟังออกมา นางเป็นคนของตระกูลซวนหยวนแห่งแผ่นดินใหญ่หลงหยิน จากนั้นเพราะเหตุจำเป็น โดนนักพรตเลวพาไปยุคปัจจุบัน แต่นักพรตเลวอยากส่งนางกลับมาอยู่ตลอด เหตุจำเป็นตอนสามเหลี่ยมเบอร์มิวดานั้นทำให้เขาส่งนางกลับมาก่อนกำหนด น่าเสียดายที่นักพรตเลวไม่รู้เรื่องอะไรตอนนั้น เรื่องนี้อธิบายได้ไม่ยาก ที่ยากคือเดินทางข้ามกาลเวลายังไง รวมถึงห้วงเวลานั้นเป็นโลกยังไง

โหลชีรู้สึกว่าจะอธิบายเรื่องนี้ก็เริ่มปวดหัว เพราะระหว่างอธิบายนางก็เริ่มพูดไม่ออก เพราะพอนางพูดถึงศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด เขาก็ถามนางว่า "มันเรียงยังไงกัน? ตอนนี้เป็นศตวรรษที่เท่าไหร่กัน?"

เอ่อ นางจะไปรู้ได้ยังไง? โลกนี้กับโลกนั้นของนางไม่ใช่โลกเดียวกันซะหน่อยนะ? จะอธิบายเรื่องห้วงเวลายังไง?

จากนั้นเขาควรจะถามว่าศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดเป็นยังไงล่ะ เรื่องนั้นถ้าจะให้เล่าต่อให้เล่าหนึ่งปีก็เล่าไม่จบ มีอะไรน่าพูดกับคนในยุคโบราณของอีกโลกกันล่ะ? พอคิดแบบนี้ นางเลยโบกมือปฏิเสธอย่างรำคาญว่า "พูดไปท่านก็ไม่เข้าใจ"

สีหน้าเฉินซ่าดำมืดอีก อะไรเรียกว่าพูดไปเขาก็ไม่เข้าใจ? นี่เขาโดนนางดูถูกเข้าให้รึ?

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ