ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 409

ปากถ้ำนั้นดูแล้วเข้าได้เพียงคนที่ร่างไม่สูงใหญ่เกินไป แต่ในถ้ำมืดทึบหนาวเย็น ไม่รู้ว่ามีอะไร มุดเข้าไปเรื่อยอาจไม่ใช่ความคิดที่ดี

"พระสนม เวลานี้จะทำอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?" ที่ส่งเสียงถามเป็นชายหนุ่มผู้หนึ่งชื่อว่าหลินเสิ้งเวย เครื่องหน้าหล่อเหลา และเป็นหัวหน้ากลุ่มย่อยที่แยกตัวออกมาเมื่อก่อนหน้านี้ เขาเป็นคนแรกที่ตามโหลชีลงจากหน้าผา ด้วยเหตุนี้โหลชีจึงจดจำเขาได้ดีกว่าเดิม และนึกขึ้นได้ว่าเขาก็คือผู้ที่ผ่านการทดสอบท่าบริหารนิ้วมืออย่างสมบูรณ์แบบในค่ายทหารเมื่อก่อนหน้านี้

"สัตว์ตัวน้อยนั้นข้าต้องได้มาให้ได้" โหลชีเม้มริมฝีปาก หลังจากกล่าวคำพูดนี้แล้วก็หยุดชะงักแล้วกล่าวอีก "หากต้องเข้าไป ต้องดูก่อนว่าในนั้นมีที่ใหญ่กว่านี้หรือไม่"

ว่าแล้วนางก็เดินไปหน้าถ้ำ โน้มเอวเล็กน้อย เงี่ยหูกับปากถ้ำ จากนั้นยื่นมือตบเบาๆ หยุดครู่หนึ่ง แล้วตบอีกสองที

เห็นนางฟังอย่างตั้งใจ หลินเสิ้งเวยและคนอื่นๆ ต่างมองหน้ากัน นี่ทำอะไร?

ทหารเล็กๆ หน้าตาดีอดถามขึ้นไม่ได้ "หรือว่าแบบนี้พระสนมก็สามารถฟังได้ว่าลักษณะภายในเป็นอย่างไรแล้ว?"

โหลชียืนตัวตรง มองเขาแวบหนึ่ง "ฟังเสียงแยกแยะขนาดช่องว่าง นี่คือหลักการทางวิทยาศาสตร์ หากเสียงสะท้อนเร็ว และหนาทึบ ก็หมายถึงช่องว่างไม่ใหญ่มาก เป็นไปได้มากว่าไม่มีทางออกทางอื่น ความควบแน่นสูงมาก"

หลักการทางวิทยาศาสตร์? นั่นมันอะไร?

ทหารเล็กๆ หน้าตาดีฟังจนวิงเวียนหัวหมุนอยู่บ้าง แต่ยังพอเข้าใจความหมายของนางโดยรวม ตะลึงเล็กน้อยชั่วขณะ พระสนมทุ่มเทพร่ำสอนความรู้ให้พวกเขาโดยแท้

แต่ความรู้นี้แม้เหมือนง่าย แต่จะแยกแยะเสียงสะท้อนว่าเป็นอย่างไรจริงๆ นี่มิใช่เรื่องง่ายอะไร โหลชีให้พวกเขาทั้งแปดลอง จากนั้นค่อยฟังความคิดเห็นของพวกเขา สุดท้ายมีเพียงสองคนที่บอกว่าเข้าไปได้ อีกหกคนต่างรู้สึกว่าถ้ำนี้จากต้นจนปลายน่าจะเป็นเช่นนี้ คนเข้าไปแล้วกลัวแต่ขาดอากาศหายใจ และจะทำอะไรก็เป็นไปไม่ได้ด้วย เกิดติดอยู่ที่นั่นจะทำอย่างไร?

"พวกเจ้ารู้สึกว่าเสียงสะท้อนไวมาก ทั้งเสียงยังค่อนข้างหนา ค่อนข้างดัง ก็เลยสงสัยว่าคนเข้าถ้ำนี้ไม่ได้ ใช่ไหม?"

โหลชีถาม สายตากวาดมองใบหน้าพวกเขาทีละคน จากนั้นตกอยู่บนใบหน้าของทหารเล็กๆ หน้าตาดีนามนั้น เขากับหลินเสิ้งเวยเป็นเพียงสองคนที่บอกว่าเข้าไปได้

"เจ้าชื่อว่าอะไร?" นางยังไม่คุ้นเคยกับพวกเขา ยามนี้เป็นช่วงทำความคุ้นเคย สามสิบห้าคนนี้สุดท้ายแล้วก็ไม่แน่ว่าจะเรียนสำเร็จทุกคน แต่นางจดจำทหารเล็กๆ หน้าตาดีผู้นี้ได้นิดหน่อย นอกจากหลินเสิ้งเวย เขาก็เป็นอีกคนที่ทำท่าบริหารนิ้วมือได้สำเร็จในค่ายทหารในตอนนั้น และยังทำได้ดีกว่าหลินเสิ้งเวยด้วย

"ทูลพระสนม ข้าน้อยแซ่จาง ชื่อเสี่ยวหมิ่นพ่ะย่ะค่ะ"

จางเสี่ยวหมิ่น? ชื่อเหมือนผู้หญิงนิดๆ

"ดี จางเสี่ยวหมิ่น เจ้าว่ามาสิว่าทำไมถึงเข้าไปได้?" โหลชีถาม

จางเสี่ยวหมิ่นตอบ "ข้าน้อยรู้สึกว่าเสียงสะท้อนข้างในแม้ค่อนข้างหนา และค่อนข้างดัง เป็นไปได้ว่าเพราะถ้ำข้างในคดเคี้ยวเลี้ยวลด ช่องว่างก็ไม่เล็ก ถึงทำให้เสียงค่อนข้างดัง หากเป็นเพียงถ้ำเล็กๆ ต้องไม่มีเสียงสะท้อนแน่พ่ะย่ะค่ะ"

โหลชียิ้มนิดๆ

เป็นเช่นนั้นจริง หากเป็นเพียงถ้ำเล็กขนาดนั้น จะไม่มีเสียงสะท้อน และถึงจะมี ก็จะไม่ดัง ที่เมื่อครู่นางไม่ได้ชี้ขึ้นมา เพราะอยากดูว่าในหมู่พวกเขาจะมีคนที่ความคิดละเอียดอ่อน หรือมีคนที่รู้แต่ไม่กล้าเสนอตัวหรือไม่

"จางเสี่ยวหมิ่นพูดได้ถูก ข้าหวังว่าหากพวกเจ้าคิดอะไรก็ให้พูดออกมาตรงๆ ไม่ต้องกังวลที่ชี้จุดด้อยหรือความผิดพลาดข้าแล้วจะถูกข้าจดความแค้นเอาคืน เข้าไปเถิด"

"ให้ข้าน้อยเดินนำหน้าเถิดพ่ะย่ะค่ะ"

จางเสี่ยวหมิ่นเสนอตัวด้วยความกล้า

เขาเดินอยู่ด้านหน้าสุด ถัดมาเป็นทหารเล็กๆ ที่ชื่อว่าหวูเสี้ยวหยู่ โหลชีเป็นคนที่สาม ให้หลินเสิ้งเวยอยู่หลังสุด โหลชีมอบไข่มุกเรืองแสงให้จางเสี่ยวหมิ่นเม็ดหนึ่ง หลินเสิ้งเวยที่อยู่ด้านหลังสุดก็มีเม็ดหนึ่ง เคราะห์ดีที่มาครั้งนี้ นางเตรียมตัวพร้อมสรรพ ไข่มุกเรืองแสงแบบนี้ที่ไม่ค่อยใหญ่แต่แสงสว่างเพียงพอ นางเอามาสิบกว่าเม็ด

ถ้ำมืดมิดที่เข้าได้แค่คนเดียวทำให้รู้สึกขาดอากาศอยู่บ้างจริงๆ โดยเฉพาะถึงผ่านได้หนึ่งคน แต่แขนทั้งสองก็ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ตามต้องการ หากเคลื่อนไหวมากหน่อยก็จะถูกเสียดสี บางจุดสูงไม่ถึงหนึ่งคน ต้องระวังการชนศีรษะกะทันหัน

อีกอย่าง ที่ทำให้รู้สึกผิดแผกในใจอยู่บ้าง ก็คือความหนาวยะเยือกของลมประหลาดที่พัดออกมาจากในถ้ำเป็นครั้งคราว เวลานี้เป็นกลางคิมหันตฤดู แรกเริ่มพวกเขายังรู้สึกสบาย แต่เดินไปอีกสองก้าวก็รู้สึกรับไม่ไหว หนาว หนาวเหลือเกิน

เดินไปประมาณหนึ่งเค่อ ด้านหน้ายังไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เวลานี้จู่ๆ โหลชีก็รู้สึกกระสับกระส่าย แต่นางไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้มาจากไหน เพราะอะไร แม้นึกถึงเฉินซ่า แต่ถึงโหลชีจะฉลาดเฉลียวมีความระวังมากพอ ก็คงคิดไม่ถึงว่าในป่าเขารกร้างด้านนอกหมู่บ้านเขาเล็กที่ตัดขาดโลกภายนอกเช่นนั้นจะมีคนคลำตามมาได้ ยิ่งคิดไม่ถึงว่าจะเป็นยอดฝีมือห้าสิบกว่าคนที่วรยุทธ์ทัดเทียมกับอิง! เพราะพวกเขาไม่เคยได้ยินว่าทุ่งป่าเถื่อนพั่วอวี้จะมีกลุ่มอิทธิพลเดิมที่แข็งแกร่งเช่นนี้

มีเทียนอิ่งและองครักษ์อิงอยู่ข้างกายเฉินซ่า นางจำได้ว่ายังให้โหลวซิ่นและคนอื่นอยู่นอกป่า ดังนั้นนางจึงคิดว่าเฉินซ่าต้องไม่เกิดเรื่อง

อีกทั้งสัตว์ตัวน้อยที่นางเห็นเมื่อครู่ นั่นเป็นของดีบำรุงชั้นเลิศของผู้ชายและผู้มีกำลังภายใน นางจะปล่อยไปได้อย่างไร?

นางให้เฉิงสิบแบกอิ้นเหยาเฟิงขึ้นไปหาเฉินซ่าแล้ว ทั้งยังห้ามเขาลงมา เพราะไอพิษเบื้องล่างนี้ส่งผลกระทบกับคนที่บาดเจ็บภายในมาก ถึงเขาร้อยพิษมิกล้ำกราย แต่ไม่มีกำลังภายใน เกรงจะชนวนล่อพิษกู่ พิษกู่ของเฉินซ่าขณะกำเริบ แม้มีนางอยู่สามารถระงับได้ แต่ไม่ได้หมายถึงระงับแล้วจะไม่เป็นอะไร ทุกครั้งที่กำเริบล้วนเป็นการทำลายร่างกายเขาอย่างหนึ่ง จำนวนครั้งที่กำเริบยิ่งบ่อย เวลาก็ยิ่งถี่ อันตรายต่อเขาก็ยิ่งมาก

กล่าวได้ว่าหากไม่ใช่เพราะตัวเขามีพิษกู่ ผลาญกำลังภายในเขาส่วนหนึ่งประคองร่างของตัวเองที่มีรูพรุนร้อยแปด พลังยุทธ์ของเขาในเวลานี้อาจล้ำลึกมากกว่าเดิม

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ