แม่หญิงปรุงยามือปราบกับลูกลิงทั้งสอง นิยาย บท 221

จงฮั่นรู้สึกเพียงว่าในคำพูดของจางเอ้อหลางนั้นมีบางจุดไม่ถูกต้อง แต่เขากลับคิดไม่ออกว่าไม่ถูกต้องตรงไหนกันแน่

ถ้าไม่ใช่เพราะจงจิ่นหลินโวยวายร้องทุกข์ขึ้นมาอย่างกะทันหัน เกรงว่าจงฮั่นคงจำเป็นต้องคิดไปถึงมูลเหตุนี้เสียแล้ว

ซึ่งนั่นก็คือ ประโยคที่ว่า 'อดีตคู่หมั้น' ประโยคนั้นของจางเอ้อหลาง อย่างไรเสียตอนที่จางเอ้อหลางถูกจับมาจนถึงในเมืองทั้งสองตระกูลก็ยังไม่ได้ถอนหมั้นกัน ดังนั้นประโยคที่ว่า 'อดีตคู่หมั้น' ประโยคนั้นของ จางเอ้อหลาง จึงไม่มีเหตุผลเลยจริง ๆ

แต่พอจงจิ่นหลินตะโกนออกมา มันก็ได้ทำให้ความคิดของจงฮั่นพังทลายลงไปแล้วอย่างสิ้นเชิง ซึ่งเขาไม่ได้คิดมาจนถึงตรงนี้เลย

กัวหงหยางมองไปทางจงจิ่นหลิน แล้วเตือนว่า “ถึงแม้ว่าเจ้าจะได้ทำเรื่องที่ไม่รูจักผิดชอบชั่วดีอะไรขึ้นมาแล้วจริง ๆ ก็ตาม มันก็เป็นเรื่องส่วนตัวของเจ้า และมันไม่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ ดังนั้นห้ามเอะอะโวยวาย”

ถึงอย่างไรเรื่องที่จงจิ่นหลินสองจิตสองใจนั้น ก็เป็นเพียงเรื่องที่ขัดต่อศีลธรรมเท่านั้น ไม่ได้ขัดต่อกฎหมายอาญาอต่อย่างใด ดังนั้นจึงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนี้อย่างแท้จริง

จงจิ่นหลินผู้ที่ไม่รูจักผิดชอบชั่วดี “......” เขาไม่ได้ตะโกนเรียกร้องความไม่เป็นธรรมไปแล้วหรือ? ทำไมถึงกลายเป็นคนไม่รูจักผิดชอบชั่วดีไปแล้วล่ะ?

“จางเอ้อหลาง เรื่องที่เจ้าทุบตีคนเป็นเรื่องจริง ตามกฎหมายอาญา เจ้าจะต้องถูกโบย เจ้าจะรับได้ไหม?” หลังจากที่กัวหงหยางพูดกับจงจิ่นหลินแล้ว ก็หันมาพูดกับจางเอ้อหลาง

หลังจากที่จงฮั่นขมวดคิ้วและเหลือบมองดูกุนซือแล้ว เขาก็ยิ่งรู้สึกว่ากุนซือผู้นี้ไม่น่าเชื่อถือเอาเสียเลย

เมื่อคืนนี้เขารีบมาถึงในเมืองในคืนนั้น และยัดเงินให้กุนซือผู้นี้ แล้วกุนซือก็ได้รับประกันแล้วว่าจะต้องทำให้จางเอ้อหลางนั่งอยู่ใต้คุกให้ได้

ขอเพียงแค่จางเอ้อหลางได้เข้าไปอยู่ในคุกแล้ว เขามั่นใจว่ามีวิธีที่จะทำให้เขามีชีวิตอยู่ไม่สู้ตายได้

แต่ทว่า พอกลับมาคิดอีกที ถ้าถูกโบยนี่ก็ถือว่าบรรลุจุดประสงค์เช่นกัน

ถึงแม้ว่าการโบยจะเรียบง่าย แต่ทว่าจุดสำคัญก็คือมันสามารถคร่าชีวิตคนได้เช่นกัน

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ในใจของจงฮั่นก็รู้สึกสมดุลขึ้นมามากแล้วเช่นกัน

แต่ทว่าในเวลานั้นเอง กัวหงหยางกลับเอ่ยปากขึ้นมาว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น งั้นก็ตรวจสอบอาการบาดเจ็บดูไหมล่ะ?”

ตรวจสอบอาการบาดเจ็บงั้นรึ?

พ่อลูกตระกูลจงมองหน้ากัน ทำไมยังต้องตรวจสอบอาการบาดเจ็บอีก?

จงฮั่นมองไปทางกุนซือ แต่กลับได้รับสายตาของการสุดวิสัยที่จะช่วยเหลืออะไรได้ จงฮั่นจึงโกรธมากจนอยากจะกระอักเลือด

“ใต้เท้า ลูกชายของข้าถูกทุบตีจนกลายเช่นนี้แล้ว เหตุใดจึงต้องตรวจอาการบาดเจ็บอีก? ในเมื่อตีคนต้องถูกโบย ทำไมใต้เท้าถึงไม่ประหารชีวิตเขาไปเลยล่ะ?” จงฮั่นกัดฟันพูดออกมา

ลูกชายของตนเองได้รับบาดเจ็บที่ผิวหนังอย่างนั้น เขากลัวว่าถ้าตรวจสอบขึ้นมาพวกเขาจะต้องเดือดร้อนแน่ ๆ

ในขณะนี้จงฮั่นมีความรู้สึกเสียใจภายหลังกับความมุทะลุของตัวเองขึ้นมาบ้างแล้ว

แต่ทว่ากัวหงหยางกลับพูดด้วยใบหน้าเคร่งขรึมว่า “ถ้าได้รับบาดเจ็บเบา ๆ ก็จะถูกโบยน้อย แต่ถ้าได้รับบาดเจ็บสาหัสจะต้องถูกโบยให้หนัก ปกติแล้วอาการบาดเจ็บนี้จะต้องได้รับการวินิจฉัยและประเมินก่อนว่าหนักเบาเพียงใดจึงจะสามารถกำหนดได้ว่าจะต้องโบยมากน้อยแค่ไหน”

จงฮั่นพูดว่า “ใต้เท้า ข้าน้อยเพียงแค่อยากจะมาเรียกร้องความยุติธรรมให้ลูกชาย ไม่อยากทำให้ใครถึงตายเลย ใต้เท้าโบยเขาสิบไม้ก็พอขอรับ”

ถึงแม้ว่า ภายในใจของเขาจะอยากโบยจางเอ้อหลางให้หนัก ๆ สักร้อยไม้ และโบยเขาให้ตายไปเลยจะดีที่สุดก็ตาม

แต่ถ้าเขาบอกว่าให้โบยร้อยไม้จริง ๆ การตรวจสอบอาการบาดเจ็บนี้ก็ต้องมีการดำเนินการขึ้นมา ดังนั้นยังไม่สู้ให้โบยสิบไม้ไปก่อน หากจะโบยเพิ่มค่อยว่ากันทีหลังก็แล้วกัน

แต่กัวหงหยางกลับทำสีหน้าเคร่งขรึม แล้วถามว่า “เจ้ารู้ไหมว่าแทรกแซงการพิจารณาคดีของข้ามีโทษอย่างไร?”

จงฮั่นจึงพูดว่า “ข้าน้อยมิกล้า......” เขารู้สึกเสียใจที่พูดออกไปแล้วจริง ๆ

ถ้าหากว่าเป็นแบบนี้ ก็ย่อมสู้ปล่อยให้ทางศาลาว่าการอำเภอนำตัวจางเอ้อหลางไปขังเอาไว้สักสองสามวันไม่ได้

ตราบใดที่เขาไม่มาร้องทุกข์ จางเอ้อหลางก็จะถูกจับไปในทะเลาะวิวาท หากเป็นดังที่ว่านั้นเขาจะต้องถูกขังเป็นเวลาสองสามวันแน่ ๆ

หลังจากที่รอให้จางเอ้อหลางเข้าไปอยู่ในคุกมามากพอแล้ว ตัวเองค่อยหาคนมาสั่งสอนเขาสักหน่อยไม่ดีหรือ? ทำไมเขาถึงต้องมาฟ้องเขาให้ปลงไม่ตกด้วยเล่า?

ไม่นาน หมอก็ถูกเรียกมา

คนที่ถูกเรียกไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นลั่วเสี่ยวปิงนั่นเอง

พอลั่วเสี่ยวปิงได้เหลือบไปที่จงจิ่นหลินแล้ว มองปราดเดียวนางก็รู้ได้ทันทีว่าอาการบาดเจ็บบนร่างกายของจงจิ่นหลินนั้นไม่ใช่ของจริง

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเมื่อวานนี้นางเคยเห็นจงจิ่นหลินด้วยตาตัวเองว่ามันเป็นอาการบาดเจ็บทางผิวหนัง และถึงแม้ว่านางจะไม่เห็นก็ตาม แต่ดูจากท่าทางในการพันผ้าพันแผลที่อยู่บนร่างกายของ จงจิ่นหลินในตอนนี้แล้ว สีหน้าของจงจิ่นหลินนั้นก็ต้องเต็มไปด้วยความซีดเซียวและสีผิวขาวซีดอยู่ดี

แต่เขากลับสบายดี สีหน้าของเขาแดงก่ำและเต็มไปด้วยพลังลมปราณ

ฝีมือในการแสดงห่วยเกินไป แย่ชะมัด!

ถึงแม้ว่าในใจจะคิดอย่างนี้ แต่ลั่วเสี่ยวปิงก็ยังมีความคิดที่จะไปตรวจชีพจรดูสักหน่อย

แต่หลังจากที่ตรวจชีพจรเสร็จ ในสายตาที่ลั่วเสี่ยวปิงมองไปยังจงจิ่นหลินกลับมีความรังเกียจอยู่ในนั้นด้วยเล็กน้อย

สกปรกจริงๆ!

ในขณะที่ลั่วเสี่ยวปิงกำลังคิดอยู่นั้น นางก็พูดกับกัวหงหยางว่า “ใต้เท้า เขาได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเจ้าค่ะ......”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: แม่หญิงปรุงยามือปราบกับลูกลิงทั้งสอง