แม่หญิงปรุงยามือปราบกับลูกลิงทั้งสอง นิยาย บท 250

“ฟ้าดินก็ไหว้แล้ว แต่นี่กระทะก็เย็นเตาก็เย็น ไม่เห็นมีผู้ใดไปทำอาหาร จะให้พวกข้าที่มาเข้าร่วมงานแต่งนั่งกินลมชมวิวหรืออย่างไร?”

ผู้ที่เอ่ยขึ้นมาคือจ้าวซื่อซึ่งบ้านสองของตระกูลลั่ว

ถึงแม้จะไม่มองหน้าตาของจ้าวซื่อ เพียงแค่ฟังจากน้ำเสียงก็รู้แล้วว่าจ้าวซื่อมาหาเรื่อง

ลั่วเสี่ยวปิงขมวดคิ้ว แต่ไม่ได้ออกเสียงอะไร ทำเพียงแค่ยืนข้างฉีเทียนเห้าอย่างเงียบๆ ผ้าคลุมคลุมอยู่บนหัว นางมองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น แต่นางกลับมองเห็นว่าฉีเทียนเห้าจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร

ความสามารถในการจัดการงานของฉีเทียนเห้า นางไม่สงสัยเลย

แต่ก็เหมือนกับที่จ้าวซื่อพูด ในบ้านกระทะก็เย็นเตาก็เย็น งานเลี้ยงคงจัดไม่ได้แน่นอนอยู่แล้ว

เพราะงั้น ฉีเทียนเห้าจะใช้วิธีอื่นแก้ปัญหาหรือ?

ในใจของลั่วเสี่ยวปิงกำลังคาดเดาอยู่

“ใช่แล้ว ก็ไม่เคยเห็นคนบ้านไหนจัดงานแต่งแล้วไม่จัดงานเลี้ยง ดูแล้วก็ไม่เหมือนคนขาดเงิน เหตุใดยิ่งมีเงินถึงยิ่งทำตัวขี้งกเช่นนี้กัน?”คำพูดของจ้าวซื่อ ได้รับการตอบรับจากกลุ่มคนบางกลุ่มในหมู่บ้านอย่างรวดเร็ว

“ถ้าหากกลัวว่าพวกข้าจะมากินเนื้อบ้านพวกเจ้า ก็ไม่จำเป็นต้องเรียกพวกข้ามาเลยก็ได้ นี่เรียกพวกข้ามาแล้วให้พวกข้ายกท้องหิวแบบนี้ มันก็เกินไปเสียหน่อย”

ผู้คนกล่าวนี่หนึ่งคำนู้นหนึ่งคำ เสียงพูดคุยก็ดังขึ้น

ที่เป็นเช่นนี้ เพราะนอกจากคนในหมู่บ้านใกล้เคียงอยากจะทานอาหารดีๆให้ได้สักมื้อแล้ว เวลาอื่นก็ได้แต่รอว่าบ้านไหนจะจัดงานแต่งหรืองานศพแล้วพากันไปกินของดีสักมื้อ นั่นก็เพราะว่าทุกคนที่มาร่วมพิธีจะมากหรือน้อยก็ได้ให้ของกำนัล

แม้ว่าจะเป็นเพียงของที่ไม่มีความคุ้มค่าอะไรมากมาย อย่างเช่นบ้านนี้ให้ไข่ไม่กี่ฟอง บ้านนู้นให้เงินเหรียญไม่กี่เหรียญ บ้านนั้นให้ผักไม่กี่กำอะไรแบบนี้ แต่ก็คงไม่มีใครอยากจะให้ของออกไปแล้วไม่ได้อะไรกลับคืนมา ถ้าหากสามารถกินของอร่อยได้สักมื้อหรือเก็บผลประโยชน์เล็กๆน้อยๆไปได้ ใครล่ะจะไม่ชอบ?

และ คนเหล่านี้พึ่งจะเริ่มโวยวาย เมื่อสายตาที่เย็นชาของฉีเทียนเห้ากวาดผ่านตัวพวกเขา ก็ทำให้ทุกคนปิดปากเงียบไปเลย

เดิมทีแผลเป็นรอยใหญ่บนใบหน้าของฉีเทียนเห้าแค่ดูก็ว่าน่ากลัวแล้ว บวกกับสีหน้าที่เย็นชา และแรงกดดันที่บอกไม่ถูกที่แพร่ออกมาจากตัวของเขา ก็ยิ่งทำให้ผู้คนไม่กล้าเปิดปากพูด

แต่ ก็มันไม่พอใจนี่นา!

แล้วจะทำอย่างไรได้อีก?

ดังนั้นแม้ว่าคนเหล่านี้จะไม่พอใจ แต่ก็ทำได้เพียงหลบไปอยู่ด้านหลังคนอื่นอยู่ดี

ย่าลั่วเห็นว่าคนเหล่านี้พึ่งจะเปิดทางก็ไปหลบหลังผู้อื่นเสียแล้ว แอบด่าในใจอยู่คำหนึ่ง แต่เมื่อสบเข้ากับตาคู่นั้นของฉีเทียนเห้า ตาสามเหลี่ยมคู่นั้นก็อดไม่ได้ที่จะกระตุกไปหนึ่งที

พระเจ้าช่วย เหตุใดชายคนนี้ถึงได้ดูน่ากลัวเช่นนี้?

ย่าลั่วเกือบจะกัดฟันที่ไม่ค่อยแข็งแรงอยู่แล้วของนางแตก ในใจก็รีบร้อน

มีชาวบ้านที่หาเรื่อง แน่นอนว่าก็ต้องมีชาวบ้านที่รู้ทันการณ์

แม้ว่าความจริงทุกคนต่างก็อยากกินดีสักมื้อ แต่ถึงจะไม่มีก็สามารถรับได้

สำหรับของที่ให้ไปนั้น ก็คิดซะว่าเป็นการทำบุญ ในอนาคตหากโรงงานของเสี่ยวปิงเปิดขึ้นมา เมื่อพวกเขาได้มีงานทำ ของเล็กน้อยเหล่านั้นก็จะได้คืนกลับมาเอง

สำหรับคนที่มาก่อเรื่องเหล่านั้น คนเหล่านี้แค่ได้เห็นก็รู้ว่ามีน้ำเข้าสมอง ผิดใจกับลั่วเสี่ยวปิง ก็เหมือนผิดใจกับเงินทองไม่ใช่หรือ?

แน่นอน พวกเขาก็จะไม่เข้าไปเตือน เพราะอย่างไรเสียทุกคนต่างก็มีความคิดลับๆเป็นของตัวเอง

งานก็มีอยู่แค่นั้น ใครยังอยากจะให้มีคนมาแย่งงานพวกเขาเพิ่มขึ้นกันล่ะ

เพียงแต่ ในตอนที่พวกเขากำลังจะเอ่ยปากบอกลา ฉีเทียนเห้ากลับหันตัวไปทางผู้ใหญ่บ้านจางเต๋อหวั่งอย่างกะทันหัน

จางเต๋อหวั่งเห็นฉีเทียนเห้ามองมา จึงได้ถามขึ้นว่า “ถ้าหากมีอะไรที่สามารถช่วยได้ ก็พูดออกมาได้เลย”

ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใด เมื่อเผชิญหน้ากับฉีเทียนเห้าแล้ว จางเต๋อหวั่งรู้สึกสันหลังตึงอยู่ตลอดเวลา

สรุปก็คือ สองสามีภรรยาคู่นี้ไม่ใช่คนที่ไม่เพียรพยายามแน่นอน

“ก็มีเรื่องให้ผู้ใหญ่บ้านช่วยจริงๆ” ฉีเทียนเห้าเอ่ยปากพูด “ขอให้ผู้ใหญ่บ้านช่วยพาชายหนุ่มส่วนหนึ่ง ไปยืมโต๊ะจากในหมู่บ้านมาสักหน่อย ไม่ต้องยกเข้ามาก็ได้ แค่จัดวางไว้บนถนนข้างนอกก็เพียงพอ”

ไม่ได้เปิดเตาใช้ไฟ จะยืมโต๊ะเก้าอี้ไปทำไม?

ไม่เพียงแต่ผู้ใหญ่บ้าน ในใจของคนอื่นๆก็คิดอยู่เหมือนกัน

แต่ไม่มีใครกล้าถาม ผู้ใหญ่บ้านจางเต๋อหวั่งไม่เสียเวลา จัดเตรียมคนไปยืมทันที เพราะถ้ายังเสียเวลาอีก ฟ้าจะมืดสนิทกันหมด

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: แม่หญิงปรุงยามือปราบกับลูกลิงทั้งสอง