คนเราต่อให้โหดเหี้ยมขนาดไหน เมื่อต้องลงมือกับตัวเอง ถึงอย่างไรก็ไม่มีทางโหดเหี้ยมขนาดนี้
ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นมองหนานกงเย่อย่างชื่นชมนับถือ
นางเล่าให้ฟังเพียงครั้งเดียว แต่เขากลับจำมันได้
ในอนาคต เขาผู้นี้จะต้องกลายเป็นคนที่ยอดเยี่ยมแน่นอน!
ฉีเฟยอวิ๋นเดินไปพลางเอ่ยว่า “น่าจะเป็นอย่างนั้นเพคะท่านอ๋อง”
“อืม”
หนานกงเย่เองก็ไม่ได้คิดจะเข้ามาจัดการเรื่องนี้และบอกชัดเจนแล้วว่าจะกลับ แต่เว่ยหลินชวนมารั้งพวกเขาไว้ ขอให้ฉีเฟยอวิ๋นอยู่ช่วยตรวจหลักฐาน
เมื่อถูกรั้งไว้ ฉีเฟยอวิ๋นจึงจำเป็นต้องอยู่ต่อ ในขณะที่หนานกงเย่ไม่ได้พูดอะไร
หลังจากการสอบสวน เว่ยหลินชวนก็รู้สึกเหมือนกันว่านี่คือการสะกดจิต แต่เขายังไม่มีหลักฐานยืนยันแน่ชัด จึงทำได้เพียงตรวจสอบที่จวนอ๋องเซี่ยวจวิ้น
หลังจากตรวจสอบจนครบทุกคนแล้วก็ยังไม่ได้ผลสรุปอะไร
ฉีเฟยอวิ๋นยืนสังเกตผู้คนที่อยู่ตรงหน้าอย่างละเอียด คนเหล่านี้ล้วนขลาดกลัว เพราะต่างก็เกรงว่าจะพูดอะไรผิดจนหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัว
หลังจากตรวจไม่พบอะไร เว่ยหลินชวนก็พบว่าฟ้าเริ่มมืดแล้ว ดังนั้นจึงยอมให้ฉีเฟยอวิ๋นและคนอื่นๆ กลับไป
ฉีเฟยอวิ๋นออกไปจากที่นั่นพร้อมกับอวิ๋นหลัวฉวน พร้อมกันนั้นที่ด้านหลังก็มีกลุ่มคนติดตามอวิ๋นหลัวฉวนมาด้วย ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกลึกๆ ว่าแม้พวกนางจะเป็นสตรีมีครรภ์เหมือนกัน แต่ถึงอย่างไรก็เปรียบเทียบกันไม่ได้อยู่ดี
“ท่านพี่เสียนเฟย ท่านคิดว่าท่านอ๋องเซี่ยวจวิ้นตายได้อย่างไรเจ้าคะ” อวิ๋นหลัวฉวนไม่กลัวการเห็นคนตาย แม้ว่านางจะอายุยังน้อยแต่ก็ใช่ว่าจะไม่เคยฆ่าใครเลย แม้แต่การตีฝ่าวงล้อมในสนามรบนางก็เคยทำมาแล้ว
เพียงแต่ว่าตอนนั้นอวิ๋นหลัวฉวนเพิ่งจะอายุสิบขวบ นางเคยไปต่อสู้ต้านกองกำลังศัตรูกับท่านอ๋องหย่งจวิ้นผู้เป็นบิดา แต่ไม่คิดว่าจะถูกซุ่มโจมตี ในเวลานั้นอีกฝ่ายมีเยอะกว่า พวกเขาจึงทำได้แค่ต้องฝ่าวงล้อมออกมาเท่านั้น
แต่พวกเขาตีฝ่าวงล้อมและพ่ายแพ้หลายครั้งจนมีผู้คนล้มตายมากมาย
อวิ๋นหลัวฉวนขันอาสา นางบอกว่านางออกไปได้และยังบอกอีกว่าจะต้องทำหน้าที่สำเร็จอย่างแน่นอน
แน่นอนว่าท่านอ๋องหย่งจวิ้นไม่เต็มใจ แต่ในเวลานั้นไม่มีใครพร้อมไปกว่านี้ ถ้าไม่ออกไปก็คงจะต้องตายด้วยกันที่นั่น
อ๋องหย่งจวิ้นเห็นแก่ตนเองและสั่งให้รองแม่ทัพคนหนึ่งพาอวิ๋นหลัวฉวนฝ่าวงล้อมออกไป อย่างไรก็อยากให้พวกเขาออกไปให้ได้
อวิ๋นหลัวฉวนกับรองแม่ทัพออกไปได้ไม่ไกลเท่าไหร่ก็ถูกขัดขวางเอาไว้ รองแม่ทัพถูกจับกุม อวิ๋นหลัวฉวนฉวยโอกาสพาคนไปสร้างความวุ่นวายและตีฝ่าออกไป ในที่สุดนางก็พาคนอีกสี่คนไปถึงกองทัพใหญ่ จากนั้นจึงเคลื่อนกำลังพลไปช่วย
หลังจากนั้นอ๋องหย่งจวิ้นก็รอดพ้นจากความยากลำบาก ทั้งหมดเป็นเพราะความห้าวหาญของอวิ๋นหลัวฉวน
แม้ว่าอวิ๋นหลัวฉวนจะยังเด็ก แต่นางกลับมีประสบการณ์การสู้รบมากกว่าคนเป็นแม่ทัพเสียอีก
ฉีกั๋วกงหอบอวิ๋นหลัวฉวนไปสู้รบด้วยตั้งแต่นางเพิ่งเริ่มเดินได้ บางครั้งฉีกั๋วกงก็กระเตงนางไว้ที่หน้าอกตอนที่เขาอยู่บนหลังม้า
นางไม่กลัวการฆ่าคน ตรงกันข้าม นางกลับไม่ชอบการต่อสู้กับผู้คนที่เมืองหลวง อย่างเช่นจวินเซียวเซียว
ที่แค่เห็นก็ปวดหัว
แม้กระทั่งการเห็นคนตายอยู่บนพื้นในจวนอ๋องเซี่ยวจวิ้นเมื่อครู่นี้ นางก็ไม่ได้หวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย
ฉีเฟยอวิ๋นเห็นว่าในสายตาของอวิ๋นหลัวฉวนเต็มไปด้วยคำถาม และมองหน้านางอย่างนั้นครู่หนึ่ง
นางอายุเพียงสิบกว่าปี แต่มองเรื่องการฆ่าคนเป็นเรื่องน่ายินดี เมื่อพูดถึงก็พูดออกมาได้ง่ายๆ กร้าวๆ ชวนให้นึกชื่นชมอยู่ในใจ
“ไม่ใช่การฆ่าตัวตายหรอกหรือ” ฉีเฟยอวิ๋นถามกลับ
อวิ๋นหลัวฉวนเบิกตากว้าง “ไม่ได้บอกว่าโดนสะกดจิตจนตายหรอกเหรอ”
“เขาตายอย่างไร ไม่ใช่ว่าตายเพราะมีดหรอกหรือ”
“ก็ใช่ เช่นนั้นท่านพี่เสียนเฟยคิดว่าใครเป็นคนฆ่าท่านอ๋องเซี่ยวจวิ้นจนตาย”
“ไม่รู้สิ”
ฉีเฟยอวิ๋นไม่อยากจะพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องของอ๋องเซี่ยวจวิ้น แต่อวิ๋นหลัวฉวนไม่อยากจะเก็บงำใดๆ ทั้งนั้น
“ข้าคิดว่าจะต้องเป็นฝีมือของสหายหรือญาติคนไหนสักคนของไป๋ซู่ซู่แน่ แม้ว่าจะเกิดเรื่องกับทุกคนในตระกูลของไป๋ซู่ซู่ และผู้เป็นพ่อก็ตายไปแล้ว
แต่นางก็ยังมีเพื่อนสี่ห้าคนที่ไว้ใจได้เสมอ
ข้าเคยเจอไป๋ซู่ซู่ นางวางตัวดีมากและเป็นสหายกับมู่เหมียนจวิ้นจู่ด้วย แต่ว่ากันว่านางมีชีวิตไม่ดีนักตอนที่อยู่ที่เรือน พอแต่งงานกับอ๋องเซี่ยวจวิ้น ท่านอ๋องเซี่ยวจวิ้นก็ปฏิบัติกับนางไม่ดี ทุบตีจนนางเสียลูก คนในตระกูลของนางก็มาเกิดเรื่องท้องก่อนแต่งกับท่านอ๋องเซี่ยวจวิ้นอีก
นางอภิเษกมาสี่ปี ได้ยินว่านางต้องทนทุกข์มาถึงสี่ปี ถ้าข้าเป็นสหายของนาง ข้าจะบิดศีรษะท่านอ๋องเซี่ยวจวิ้นให้หลุดเสียเลย
แต่ข้าได้ยินมาว่ามู่เหมียนอาศัยอยู่ในจวนอ๋องเย่ของพวกเรา แสดงว่าเรื่องนี้ไม่น่าจะเกี่ยวอะไรกับมู่เหมียน”
ทันใดนั้นฉีเฟยอวิ๋นก็พบว่าอวิ๋นหลัวฉวนกำลังคิดจะล้างมลทินให้มู่เหมียน
“ไม่ใช่มู่เหมียนจริงๆ นั่นแหละ เมื่อวานมู่เหมียนอยู่ที่จวนอ๋องเย่”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ