บัลลังก์หมอยาเซียน นิยาย บท 265

อาซี่ถามอดไม่ได้ “ สวีอี ที่เจ้าพูดมาเป็นความจริงรึ?”

“จริงแท้แน่นอน” อีกนิดเดียว สวีอีก็เกือบจะลั่นวาจาสาบานออกมาอยู่แล้ว

“เรื่องเช่นนี้เจ้าจะพูดเล่นส่ง ๆ ไม่ได้นะ เมื่อวานเจ้าเห็นว่าท่านอ๋องมีท่าทีโกรธเคืองบ้างหรือไม่?” อาซี่ถามต่อทันที

“ไม่เลย ท่านอ๋องไม่ได้มีท่าทีโกรธเคืองแม้แต่น้อย หรืออย่างน้อยที่ข้าเห็น ท่าทีของเขาก็ดูไม่เหมือนโกรธ นั่นจึงทำให้ข้ารู้สึกแปลกใจมาก ตอนกลับมาเมื่อวานนี้ข้าก็คิดว่าจะบอกพระชายาอยู่เหมือนกัน แต่พอไปเล่าให้ใต้เท้าทังฟังแล้ว ใต้เท้าทังบอกว่าไม่ควรเล่าให้พระชายาฟัง ข้าก็เลยไม่กล้าเล่า ถ้าไม่เพราะวันนี้พระชายาซุนมาพูดถึงเรื่องนี้ข้าจึงคิดว่าข้าควรจะบอกพระชายา แต่ก็ไม่อยากเห็นพระชายาร้องไห้เช่นนี้เลย”

สวีอีรู้สึกว่าผิดต่อใคร ก็ไม่เท่ารู้สึกผิดต่อพระชายา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตอนที่เขาเห็นว่าพระชายากำลังจะร้องไห้อยู่แล้ว หัวใจของเขาก็รู้สึกทรมาน เจ็บปวดเหมือนเวลาที่ถูกหมากัดอย่างไรอย่างนั้น

อาซี่หันไปมองสวีอี พลางถอนหายใจ: " ท่านอ๋องต้องฆ่าเจ้าแน่"

สวีอีตกใจจนผงะ “ทำไมล่ะ? ข้าไม่ได้เป็นคนเชิญให้คุณหนูรองตระกูลฉู่นั่นเข้าไปสักหน่อย!

หยวนชิงหลิงหันไปมองสวีอี แล้วสั่งออกไปว่า "เจ้าจงไปหาใครสักคน ที่ทำงานอยู่ในกรมพระนครมายืนยัน เรื่องที่เมื่อวานนี้ฉู่หมิงหยางไปหาเขาถึงที่กรม จะต้องมีคนอื่นที่รู้เห็นอีกแน่นอน เจ้าลองไปสอบถามดูว่า มีใครเห็นนางมาอีกบ้างหรือไม่ ? นางไม่น่าจะอยู่ดี ๆ ก็บุกเข้าไปในกรมตอนพักเที่ยงโดยไม่มีเหตุผลแน่"

“นางไม่ได้มาคนเดียว แต่มีหญิงชราตัวเล็ก ๆ ที่แต่งกายในชุดผู้ชายมาด้วยอีกคน” สวีอีพูด

“หญิงชราตัวเล็ก ๆ?” หยวนชิงหลิงตกตะลึง “ไม่ใช่ว่าเข้าไปคนเดียวหรอกหรือ? เจ้าเคยเห็นหญิงชราคนที่ว่านี้บ้างหรือไม่?”

“ข้าน้อยไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ลักษณะของเสื้อผ้านั้นดูมีราคา ทั้งยังดูคุ้นตาอย่างมาก คล้าย ๆ ว่าจะเคยเห็นจากที่ไหนสักแห่ง” สวีอีหลับตา พลางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง

หยวนชิงหลิงรีบสั่งการทันที “อย่ามัวคิดอีกเลยน่า ถ้าใช้หัวของเจ้าคิด น่ากลัวว่าจนถึงปีหน้าก็คงยังคิดไม่ออกด้วยซ้ำ รีบไปเร็วเข้า!”

"ไปเดี๋ยวนี้เลยรึขอรับ?"

“ไปเดี๋ยวนี้เลย ต่อให้อึดใจเดียว ข้าก็รอไม่ไหวแล้ว” นางโกรธมาก จนแทบจะระเบิดออกมาอยู่แล้ว นึกขึ้นได้ว่าเขากลับมาถึงเมื่อคืน ก็ยังแสร้งทำเป็นเหมือนไม่มีอะไร แสร้งทำเป็นว่าทุกอย่างล้วนปกติดี

“จะไปไหนรึ?” เสียงของหยู่เหวินเห้าดังมาจากด้านหลัง เอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย

หยวนชิงหลิงหันขวับไปมองเขา

หยู่เหวินเห้ากำลังเดินมา ก็เห็นท่าทางราวกับว่านางแทบจะกินหัวคนได้อยู่แล้ว จึงรั้งฝีเท้าหยุดอย่างลังเลครู่หนึ่ง จากนั้นจึงก้าวถอยหลังไปสองก้าว ค่อยถามว่า “เป็นอะไรไปรึ?”

“มาได้จังหวะเหมาะพอดีเชียว ข้าขอถามเจ้าหน่อย เมื่อวานนี้ฉู่หมิงหยางไปหาเจ้าที่กรมปกครอง ทำไมเจ้าถึงไม่บอกข้า?” ประกายไฟในดวงตาของหยวนชิงหลิง ลุกโพลงเป็นประกายโชติช่วง ไม่สามารถทำตัวเป็นภรรยาแสนดีผู้อดทนได้อีกต่อไป ในเมื่อมีบัญชีต้องสะสาง นางก็ต้องลงสนาม ไปชำระให้มันเรียบร้อยเสียหน่อยแล้ว

หยู่เหวินเห้าเอ็ดเสียงดัง: "เจ้าไปฟังใครเล่ามาอีกล่ะ? พูดจาเหลวไหลสิ้นดี ทำไมฉู่หมิงหยางถึงต้องมาหาข้าที่กรมด้วย?"

“จนสวีอีได้เห็นกับตาตัวเองแล้วน่ะรึ?” หยวนชิงหลิงโกรธมากจนทั้งหัวใจ ลำไส้ ตับไต ไปจนถึงปอด แทบจะบิดเบี้ยวม้วนเกลียวเข้ามาอยู่ด้วยกันได้อยู่แล้ว เรื่องมาจนถึงขั้นนี้ เขายังจะมาเบิ่งตาทำหน้าใสซื่อ ปากก็พูดเรื่องเท็จได้อย่างหน้าด้าน ๆ อยู่อีก

“เมื่อวานสวีอีไม่ได้อยู่ที่กรมปกครองเสียหน่อย เขาเอาตาข้างไหนไปเห็นกันล่ะ?” หยู่เหวินเห้ารู้สึกร้อนตัววูบหนึ่ง แต่รู้สึกว่าบางทีเจ้าหยวนน่าจะแค่โยนหินถามทาง ก็เมื่อวานสวีอีไม่ได้อยู่ที่กรมจริงๆนี่

สวีอีรีบเตือนด้วยความหวังดีทันที: “ท่านอ๋อง เมื่อวานนี้พระชายาสั่งให้ข้าน้อยไปส่งขนมให้ท่าน ข้าจึงทันเห็นท่านตอนมาส่งคุณหนูรองตระกูลฉู่พอดี ทั้งยังมีรอยชาดสีแดงรอยใหญ่ติดอยู่บนใบหน้าของท่านเลยด้วย”

หยู่เหวินเห้าโกรธจัด จนหน้าเปลี่ยนเป็นสีดำคล้ำมืดทะมึน ยกมือชี้ไปที่สวีอี แล้วพูดด้วยเสียงคำรามดังลั่น: "สวีอี เจ้านี่มันช่างโอหังบังอาจนัก เจ้ากล้าดีอย่างไร ถึงได้กุข่าวเล่าเรื่องโกหกใส่ร้ายข้าต่อหน้าพระชายาเช่นนี้ อย่าลืมนะว่าครั้งก่อนเจ้าถูกไล่ออกไปแล้ว เป็นข้าที่เมตตายอมให้เจ้ากลับมาเป็นกรณีพิเศษ ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง สุดท้ายแล้ว เมื่อวานนี้เจ้ามองเห็นชัดหรือไม่ว่า ที่เจ้าเห็นเป็นคุณหนูรองตระกูลฉู่ หรือว่าเป็นสาวรับใช้ในกรมปกครองกันแน่? เจ้าพูดดัง ๆ ออกมาอีกครั้งซิ"

สวีอีตกตะลึงไปแล้ว สมองของเขาคล้ายมีเสียงดังหึ่ง ๆ กึกก้องไปมาไม่หยุด เขามองผิดไปอย่างนั้นรึ? เป็นสาวใช้อย่างนั้นรึ?

แต่มีรอยชาดทาปากสีแดงรอยใหญ่ ติดอยู่บนใบหน้าของท่านอ๋องนะ เขามองไม่ผิดแน่

แต่แล้ว สมองของสวีอีก็สามารถตื่นรู้ แจ่มชัดขึ้นมาได้ในที่สุด ว่าเขาได้ขายท่านอ๋องออกไปโดยไม่รู้ตัวอีกครั้งแล้ว

เขามีท่าทีสับสนเล็กน้อย ก่อนจะพูดว่า: "ข้าน้อย ... ข้าน้อยคงจะมองผิดไปจริงๆขอรับ นั่นคงจะเป็นสาวใช้ในกรมที่ดูคล้ายกับคุณหนูรองของตระกูลฉู่มากกว่า"

หยวนชิงหลิงไม่ได้มองสวีอี นางเอาแต่จ้องมองหยู่เหวินเห้าตาเขม็ง สายตาเปลี่ยนจากความโกรธเกรี้ยวเป็นความเงียบสงบที่เย็นชาถึงขีดสุด

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บัลลังก์หมอยาเซียน