ซือเจ๋อเยว่นึกถึงภาพที่เยียนเซียวหรานเตะกวนมามาจนตาย แล้วก็นึกถึงเหตุการณ์ที่นางเผลอหลับนอนกับเขา จากนั้นเขาก็ถือดาบเดินไล่ล่านางไปทั่วทั้งตำบล นางก็อดตัวสั่นไม่ได้
หากเขารู้ว่าคนที่หลับนอนกับเขาในคืนนั้นคือนาง นางคงตายอย่างอนาถยิ่งกว่ากวนมามาเสียอีก!
นางทุบอกตัวเองด้วยความหงุดหงิด ถ้ารู้อย่างนี้ แต่แรกก็คงไม่หลงใหลในความหล่อของเขาจนไปหลับนอนกับเขาหรอก
ตอนนี้นางจะหนีทันไหมนะ?
ทันทีที่นางยกม่านเกี้ยวขึ้น ทหารองครักษ์จากจวนเยียนอ๋องที่ขี่ม้าอยู่ข้าง ๆ ต่างหันมามองอย่างพร้อมเพรียง
นางรีบปล่อยม่านลงอย่างรวดเร็ว สถานการณ์เช่นนี้ หากนางไม่มีปีกบินออกไป ก็อย่าหวังว่าจะหนีรอดได้
นางถอนหายใจเฮือกหนึ่ง คิดว่าคงต้องค่อย ๆ คิดไปทีละขั้น
เกี้ยวมงคลเป็นสีแดงสด และสินเดิมทั้งหมดก็ถูกพันด้วยผ้าไหมสีแดง ทว่าขบวนรับเจ้าสาวกลับไม่มีความรื่นเริงแม้แต่น้อย เงียบเหงาวังเวงราวกับขบวนแห่ศพ
เมื่อถึงจวนเยียนอ๋อง บรรยากาศเช่นนี้ ก็ยิ่งชัดเจนขึ้นไปอีก
หน้าประตูจวนเยียนอ๋อง ผ้าขาวที่ผูกไว้กับรูปปั้นสิงโตหินยังไม่ได้ถูกถอดออกทั้งหมด กลับมีการผูกผ้าไหมสีแดงทับลงไปอีก
เมื่อเกี้ยวมงคลลงถึงพื้น เสียงประทัดดังสนั่นและเสียงกลองฆ้องดังกึกก้องไปทั่ว แต่กลับไม่สามารถปกปิดบรรยากาศที่เคร่งขรึมของจวนเยียนอ๋องได้
ที่หน้าประตูจวนอ๋อง นอกจากขบวนรับเจ้าสาวและขุนนางจากกรมพิธีการที่ถูกส่งมาจัดพิธีแล้ว ไม่มีผู้คนมาร่วมงานเลยแม้แต่คนเดียว บรรยากาศเงียบเหงาอย่างยิ่ง
เยียนเซียวหรานเตะประตูเกี้ยวอย่างเป็นพิธี จากนั้นก็ยกม่านเกี้ยวขึ้นและกล่าวอย่างเย็นชาว่า “องค์หญิง เชิญลงจากเกี้ยว”
ซือเจ๋อเยว่ตอบรับเบา ๆ และจับผ้าไหมสีแดงที่เขายื่นมา เดินตามเขาเข้าไปในจวน
เมื่อนางก้าวข้ามประตูจวนเยียนอ๋อง เสียงประทัดก็หยุดลง เสียงกลองฆ้องเงียบหาย ทั่วบริเวณเหลือเพียงบรรยากาศที่กดดัน
ขุนนางจากกรมพิธีการที่ถูกส่งมาจัดงานแต่งต่างตะโกนคำอวยพรอย่างขะมักเขม้น แต่ไม่สามารถขจัดความเศร้าหมองและสิ้นหวังที่มาจากโลงศพหกโลงที่ตั้งอยู่ในลานหน้าจวนได้
ซือเจ๋อเยว่ที่เติบโตในสำนักเต๋า แม้จะมีผ้าคลุมหน้าอยู่ นางก็ยังรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของเลือดและความอาฆาตที่แผ่กระจายออกมาจากโลงศพเหล่านั้น
โถงจัดพิธีแต่งงานอยู่ติดกับลานที่ตั้งโลงศพ ในห้องโถงพิธีนั้น เหล่าไท่จวิน[1]ของจวนเยียนอ๋องนั่งอยู่ตรงกลาง พร้อมด้วยพระชายาเยียนอ๋องและคุณหนูในจวน
เหล่าไท่จวินมีผมขาวโพลน มือจับไม้เท้า ใบหน้าดูใจดี แต่แฝงไปด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน
พระชายาเยียนอ๋องดวงตาบวมแดง รอยฟกช้ำปรากฏรอบดวงตา ยามนี้ไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้จึงร้องสะอื้นเบา ๆ
ผู้ช่วยเจ้ากรมพิธีการกล่าวเสียงเย็นชา “พระชายาเยียนอ๋อง วันมงคลเช่นนี้ ท่านแสดงท่าทีเช่นนี้ แสดงความไม่พอใจต่อสมรสพระราชทานจากฝ่าบาท หรือท่านต้องการขัดขืนราชโองการ?”
พระชายาเยียนอ๋องโกรธจนดวงตาแดงก่ำ ผู้ช่วยเจ้ากรมพิธีการผู้นี้ เมื่อวานเพิ่งได้รับราชโองการมาจัดงานสมรสในจวนเยียนอ๋อง แต่กลับกลั่นแกล้งพวกเขาหลายครั้งทั้งต่อหน้าและลับหลัง
บัดนี้ยังจะใส่ร้ายว่าพวกเขาต้องการขัดขืนราชโองการอีก ช่างอำมหิตนัก!
เหล่าไท่จวินดึงแขนเสื้อของพระชายาเยียนอ๋องเบา ๆ แล้วกล่าวว่า “สมรสพระราชทานจากฝ่าบาท คือเรื่องมงคลน่ายินดีของจวนเยียนอ๋อง”
“จวนเยียนอ๋องได้แต่งองค์หญิงเข้ามา ย่อมทำให้คนทั้งจวนดีใจจนต้องหลั่งน้ำตาแห่งความปีติ”
ผู้ช่วยเจ้ากรมพิธีการแสร้งยิ้มและกล่าวว่า “ฝ่าบาททรงเมตตา ความยินดีเป็นสิ่งสมควร แต่การหลั่งน้ำตาแห่งความปีติคงไม่จำเป็นเท่าไร”
“เชิญเหล่าไท่จวินและพระชายาเยียนอ๋องยิ้มให้มากกว่านี้ มิฉะนั้นอาจมีคนเข้าใจผิดว่าจวนเยียนอ๋องไม่ต้องการแต่งงานกับองค์หญิง”
พระชายาเยียนอ๋องอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เหล่าไท่จวินก็ยับยั้งไว้ พลางยิ้มและกล่าวว่า “ใต้เท้าพูดถูกต้อง”
ผู้ช่วยเจ้ากรมพิธีการยิ้มอย่างลำพองใจพลางกล่าวว่า “เหล่าไท่จวินนับว่าเข้าใจสถานการณ์ดี จวนเยียนอ๋องก็แค่มีผู้ชายไปไม่กี่คนเท่านั้นเอง”
“พวกท่านทำหน้าแบบนี้ คนไม่รู้เรื่องคงคิดว่าคนในจวนเยียนอ๋องตายกันหมดแล้ว”
เขาพูดจบก็ชี้ไปที่เยียนเซียวหราน “นั่นไง คุณชายสามก็ยังมีชีวิตอยู่ดี! เป็นเรื่องน่ายินดียิ่งนัก!”
ก่อนหน้านี้ บุตรชายของผู้ช่วยเจ้ากรมพิธีการผู้นี้เคยขี่ม้าอย่างคึกคะนองในเมืองจนทำร้ายประชาชนหลายคน เยียนอ๋องจึงลงโทษเขาด้วยการหักขา ตั้งแต่นั้นมา คนผู้นี้ก็เก็บความโกรธแค้นต่อจวนเยียนอ๋องไว้ในใจ
บัดนี้ ผู้ช่วยเจ้ากรมพิธีการได้โอกาส เขาจึงไม่พลาดที่จะหยามเหยียดทั้งจวนเยียนอ๋องให้มากที่สุด
ทางที่ดีก็หวังว่าจวนเยียนอ๋องจะเผยท่าทีไม่พอใจออกมา เพื่อที่เขาจะได้หาเรื่องและยัดเยียดความผิดให้จวนเยียนอ๋องถึงขั้นถูกประหารทั้งตระกูล
ทว่าเป็นที่น่าเสียดาย เหล่าไท่จวินกลับสุขุมและมีปัญญา เขาจึงไม่อาจหาช่องผิดใด ๆ ได้เลย
ฮ่องเต้เจาหมิงให้นางแต่งเข้าจวนเยียนอ๋องครั้งนี้มีอะไรแอบแฝงอยู่ คนที่มองออกย่อมรู้ดี
อย่างไรก็ตาม ต่อหน้าเช่นนี้ เขาก็ต้องแสดงความเคารพต่อนางตามสมควร เพราะหากนางก่อเรื่องขึ้นมา เขาย่อมอธิบายได้ลำบาก
ซือเจ๋อเยว่กล่าวอย่าเห็นด้วยว่า “ข้าจะคลุมผ้ากลับหลังจากทำธุระเสร็จ รอยยิ้มของท่านดีมาก ขอให้รักษาไว้”
ผู้ช่วยเจ้ากรมพิธีการยิ้มอย่างไม่จริงใจ นางถามต่อว่า “ตอนนี้ข้ายังไม่ได้ทำพิธีไหว้ฟ้าดิน ยังไม่ถือว่าเป็นคนของจวนเยียนอ๋องใช่หรือไม่?”
ผู้ช่วยเจ้ากรมพิธีการพยักหน้า “ใช่พ่ะย่ะค่ะ หลังจากองค์หญิงทำพิธีไหว้ฟ้าดินจึงจะถือเป็นคนของจวนเยียนอ๋อง”
ซือเจ๋อเยว่ถามต่ออีกว่า “เช่นนั้น สิ่งที่ข้าทำก่อนจะทำพิธีไหว้ฟ้าดินย่อมไม่เกี่ยวข้องกับจวนเยียนอ๋องใช่หรือไม่?”
ผู้ช่วยเจ้ากรมพิธีการพยักหน้าอีกครั้ง “ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงคิดจะทำอะไรหรือ?”
ซือเจ๋อเยว่ยิ้มบาง ๆ พลางกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้นก็ดีแล้ว”
เมื่อพูดจบ นางกวาดตามองไปรอบ ๆ ในโถงจัดพิธีราวกับกำลังหาอะไรบางอย่าง สุดท้ายสายตาของนางไปหยุดอยู่ที่เหล่าไท่จวิน
นางเดินไปตรงหน้าเหล่าไท่จวินแล้วถามว่า “ขอยืมไม้เท้าของท่านสักครู่ได้หรือไม่? ข้าใช้เสร็จแล้วจะคืนให้ท่าน”
เหล่าไท่จวินไม่แน่ใจว่านางจะทำอะไร แต่ก็ยื่นไม้เท้าให้นาง
นางรับไม้เท้ามาชั่งน้ำหนักในมืออย่างพอใจ จากนั้นนางก็หันกลับไปและฟาดไม้เท้าไปที่ศีรษะของผู้ช่วยเจ้ากรมพิธีการทันที
ไม้เท้าของเหล่าไท่จวินเป็นอาวุธของนาง หัวไม้เท้าทำจากเหล็กชั้นดี การฟาดลงไปครั้งนี้ทำให้ศีรษะของผู้ช่วยเจ้ากรมพิธีการแตกและมีเลือดไหลทันที
ทุกคนในงานต่างตกตะลึงอีกครั้ง มองนางอย่างพูดไม่ออก
ผู้ช่วยเจ้ากรมพิธีการโกรธจัด พลางตะโกนว่า “องค์หญิง นี่ท่านทำอะไรของท่าน?”
------------------------------------------
[1] เหล่าไท่จวิน คือ คำเรียกสตรีสูงศักดิ์ ในที่นี้หมายถึงอดีตพระชายาเยียนอ๋อง

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บ่วงดวงชะตา พระชายาหมอดูมือฉมัง