เข้าสู่ระบบผ่าน

ชาตินี้ ข้าไม่ขอรัก! นิยาย บท 6

บทที่ 6 เป็นอิสระแล้ว

ครึ่งเดือนต่อมา

แดนเหนือ เมืองหลงเซิง เป็นดินแดนที่ไป๋จิ้งหานคุ้นเคยเป็นอย่างดี เพราะเป็นสถานที่ที่เขาเติบโตมาตั้งแต่วัยเยาว์ เมืองแห่งนี้เป็นเส้นเขตแดนสำคัญที่เชื่อมต่อกับดินแดนของชนเผ่าเร่ร่อน และบัดนี้มันกลับเต็มไปด้วยควันเพลิงแห่งกบฏ

การก่อกบฏครั้งนี้ทำให้ไป๋จิ้งหานได้รับพระบัญชาให้เดินทางกลับไปยังแดนเหนือเพื่อปราบกบฏที่ฮึกเหิมเกินกำลังเจ้าเมืองหลงเซิงที่จะต่อกรได้

เหยียนซือเหยียนรู้อยู่แล้วว่าวันนี้ต้องมาถึงนางจึงบอกเขาว่า เขาจะไม่ได้กลับบ้านเดิมกับนางอย่างแน่นอน

ไป๋จิ้งหานยังจำคำของนางได้ และวาจาของนางที่เคยกล่าวเอาไว้กลับกลายเป็นความจริง

จะมีเรื่องบังเอิญอะไรได้เพียงนี้

ในขณะที่ไป๋จิ้งหานกำลังคิดถึงเรื่องบังเอิญนี้ เหยียนซือเหยียนก็คิดถึงเรื่องชาติที่แล้ว

ไป๋จิ้งหานไปออกรบหายหน้าไปนานถึงห้าเดือน ก่อนจะกลับมาพร้อมกับ อี้ชิง และ ท่านย่าผู้ลำเอียงของเขา โดยที่นางไม่ได้ร่วมเดินทางไปด้วย นางเคยใช้ชีวิตรอคอยเขาด้วยความทรมาน ใจจดจ่อทุกวันว่าเขาจะกลับมาหรือไม่กิจวัตรประจำวันของนางก็คือการไปไหว้พระสวดมนต์ขอพรให้เขารอดปลอดภัยกลับมา

นอกจากนั้นนางยังส่งจดหมายไปถึงเขาฉบับแล้วฉบับเล่า ทว่าคนผู้นี้กลับไม่เคยตอบกลับมาแม้แต่ฉบับเดียว นางจึงได้แต่อาศัยฟังข่าวโดยการเข้าวังหลวงไปพบเสด็จป้าไทเฮาเพื่อสืบข่าวในทุกวัน

ชาติที่แล้วช่วงเวลาที่รอเขาทำให้นางทุกข์ใจจนผ่ายผอมกินไม่ได้นอนไม่หลับเพราะเอาแต่ห่วงเขาว่าจะเกิดอันตราย

แต่เมื่อเขากลับมาจากชายแดนเขาคนนั้นยังทำร้ายน้ำใจนางอย่างแสนสาหัสด้วยการนำอี้ชิงมาด้วย

ดั้งนั้นในชาตินี้ นางจะใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรีประดุจนกน้อยที่หลุดออกจากกรงทอง นางจะมีความสุขกินให้อิ่มนอนให้หลับและใช้ชีวิตให้รื่นเริงใจ

เรื่องสวดภาวนาให้เขาปลอดภัยหรือ อย่าได้หวังว่านางจะอ้อนวอนสวรรค์ให้คุ้มครองเขาอีก

ไม่แช่งให้ตายเสีย ก็นับว่านางดีต่อเขาแล้ว

วันเดินทัพ

ลานกว้างหน้าประตูเมืองเต็มไปด้วยเสียงร่ำลาของญาติพี่น้องที่มาส่งเหล่าทหารออกศึก เสียงม้ากระทืบพื้น เสียงลมพัดไสว และเสียงร้องไห้ของเหล่าสตรีที่ออกมาส่งคนรัก บรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียดและโศกเศร้า

เหยียนซือเหยียนอยู่ท่ามกลางฝูงชน นางสวมชุดสีขาวปักลวดลายบุปผาชมพู รูปร่างอรชรใบหน้างดงามราวกับเทพธิดาบนสรวงสวรรค์

ดวงตาคู่งามเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา มือเรียวยกขึ้นโบกอำลาไป๋จิ้งหานที่อยู่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างตั้งใจ

ร่างสูงสง่าของเขาอยู่ในชุดเกราะเต็มยศ ใบหน้าหล่อเหลาเกินบรรยาย สีหน้ามั่นคงจริงจัง ขณะที่นางเอ่ยเสียงสั่นเครือ

“ท่านพี่... ขอให้ท่านเดินทางปลอดภัยมีชัยกลับมานะเจ้าคะ”

ไป๋จิ้งหานมองสตรีที่มีสีหน้าทุกข์ระทม ทว่าดวงตากลับมีแววยินดีอย่างปิดไม่มิดพร้อมทั้งขมวดคิ้ว

“น้ำตาของเจ้าปลอมมาก ข้ายังได้กลิ่นต้นหอมจากกายของเจ้า ไยจึงได้เสแสร้งเพียงนี้”

“ท่านพี่ใส่ร้ายแล้ว ข้าเสียใจจริง ๆ นะเจ้าคะ น้ำนี่ก็ไหลออกมาจากตาทั้งสองข้างของข้าชัดเจน จะปลอมได้อย่างไร”

แน่นอนว่าไป๋จิ้งหานไม่เชื่อ นางทำสิ่งใดเขาย่อมรู้ความเคลื่อนไหวทั้งหมด

เหยียนซือเหยียนปาดน้ำตา ยังขยับมากอดเขาเอาไว้ โดยที่ไป๋จิ้งหานปล่อยนางทำตามใจตนเอง เขาก็อยากรู้ว่านางจะเสแสร้งสิ่งใด

หลายวันหลังแต่งงาน ตัวเขาไม่เคยได้นอนบนเตียงดี ๆ สักวัน ต้องจำใจนอนบนพื้นมาจนถึงทุกวันนี้อีกทั้งนางผู้นี้ก็ไม่เคยปรนนิบัติเขาเฉกเช่นภรรยา

ทุกเช้านางจะไปทำหน้าที่เป็นลูกสะใภ้ที่ดี ออดอ้อนเอาใจมารดาของเขา ยังรู้ว่ามารดาชอบสิ่งใดไม่ชอบสิ่งใด ปรนนิบัติราวกับแต่งงานกับเขามาแล้วเป็นสิบปี

ส่วนตัวเขานั้น ปากของนางบอกว่ารักใคร่เขาที่สุด แต่การกระทำกลับตรงกันข้าม นางเกียจคร้านการปรนนิบัติไม่เคยสนใจเขาเลยแม้แต่คราเดียว

แต่วันนี้ภรรยาที่ไม่เคยใส่ใจเขากลับมาส่งเขาด้วยน้ำตานองหน้า ทำราวกับว่ารักใคร่หนักหนา เช่นนี้จะไม่เรียกว่าปลอมได้อย่างไร

ส่วนเหยียนซือเหยียนนางยังจำภาพของตนเองที่ออกมาส่งเขาในชาติที่แล้วได้ นางร้องไห้น้ำตาแทบเป็นสายเลือดและอยากติดตามเขาไปเพียงแต่แม่สามีเป็นห่วงความปลอดภัยของนางจึงไม่ยินยอมทำให้นางเสียใจและร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยความปวดใจที่ต้องห่างเขาเช่นนี้

ชาตินี้นางกลับดีใจจนเนื้อเต้น ดังนั้นจึงไม่อาจหลั่งน้ำตาแสดงความอาวรณ์ได้จึงต้องพึ่งพาต้นหอมช่วยให้มีน้ำตาไหลออกมา

นางอาศัยหั่นต้นหอมอยู่ในโรงครัวของโรงเตี๊ยมเล็ก ๆ ที่อยู่ใกล้ลานแห่งนี้ที่สุด กระทั่งเมื่อถึงเวลาก่อนออกรบที่ต้องร่ำลาญาตินางจึงเผยกายออกมา

คาดไม่ถึงว่านางร้องไห้แสบตาอย่างยากลำบากเพียงนี้จะถูกเขาจับได้ในพริบตา

แต่นางไม่ยอมรับเสียอย่าง ผู้ใดจะทำไมกัน

หญิงสาวส่งเสียงร้องไห้ดังขึ้น ดึงความสนใจจากชาวบ้านให้หันมามอง

ด้วยผู้ใดก็ล่วงรู้มาว่าคุณหนูสามสกุลเหยียนเป็นสตรีที่มีรูปโฉมโดดเด่น อีกทั้งเจิ้นโหวก็ยังเป็นบุรุษหนุ่มที่ครองใจชาวบ้านรวมทั้งสตรีในเมืองหลวงก็ล้วนจับจ้องเขา

หลังจากที่เขาแต่งงาน ความนิยมของเขากลับมิได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย จึงยิ่งดึงดูดฝูงชนที่แม้จะไม่มีญาติที่ร่วมออกรบให้มามุงดู

ทันทีที่เหยียนซือเหยียนปรากฏกาย เสียงโห่ร้องเรียกฮูหยินเจิ้นโหวจากคนผู้หนึ่งพลันดังขึ้น

ฮูหยินจวนโหวผู้นี้บัดนี้มีน้ำตานองหน้า คงเพราะต้องจากสามีที่เพิ่งแต่งได้ไม่กี่วัน ทว่าอิริยาบถของนางกลับชวนมอง รูปโฉมดุจเทพเซียนอ่อนหวาน

ภรรยาของท่านโหวนั้นทั้งงดงามและมั่นคง นางกับท่านโหวเพิ่งแต่งงานก็ต้องมาพรากกันเพราะสงครามเช่นนี้ช่างน่าสงสารนัก

ไป๋จิ้งหานเองก็ไม่คิดว่าเหยียนซือเหยียนจะได้รับความนิยมมากเพียงนี้ เพราะบัดนี้สายตานับไม่ถ้วนกำลังจับจ้องมองพวกเขา

ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าทำสิ่งใดที่จะก่อให้เกิดคำติฉินนินทาได้

ด้านเหยียนซือเหยียนบัดนี้รู้สึกว่าตนเองราวกับเป็นคนดังที่มีคนชื่นชมไม่น้อย นางดูสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสารของคนพวกนั้นออกดังนั้นนางยิ่งแสร้งแสดงความรักใคร่ให้คนพวกนั้นได้เห็น

ชาติที่แล้วเพราะความรักทำให้ดวงตามืดบอด เหยียนซือเหยียนกลั่นแกล้งอี้ชิงจนชื่อเสียงย่ำแย่ ถูกชาวบ้านประนามว่านางใจคอคับแคบอยู่หลายปี กระทั่งชื่อเสียงเน่าเฟอะ

ชาตินี้นางจึงต้องทำให้คนมองนางใหม่ ภาพลักษณ์ที่มีต้องดูดีไม่ให้ผู้ใดนินทาได้อีก

ดังนั้นการมาส่งไป๋จิ้งหานครานี้ ก็เพื่อกอบกู้ชื่อเสียงตนเองนั่นเอง

ยิ่งคิดเรื่องนี้เสียงสะอื้นของเหยียนซือเหยียนยิ่งดังขึ้น เสียงร้องไห้ปริ่มขาดใจนี้ราวกับว่าสามีคนนี้ไม่ได้กลับมาแน่ ๆ แล้ว

ไป๋จิ้งหานมองนางอย่างเย็นชา เสียงที่เอ่ยลดลงเบาจนได้ยินเพียงสองคน

“หยุดร้องไห้น่ารำคาญได้แล้ว เช็ดน้ำตาเสียก่อนที่ข้าจะทนไม่ไหวจับเจ้าเหวี่ยงไปให้พ้นหน้า”

นางขำพรืดกับวาจาและสีหน้าของเขา เกือบจะกลายเป็นหัวเราะไปร้องไห้ไปแล้ว ดีที่ยับยั้งเอาไว้ได้ทัน จากนั้นจึงปาดน้ำตาเสแสร้งเล็กน้อยพร้อมกับยกผ้าแพรขึ้นมาซับน้ำตาอย่างงดงาม

“ท่านพี่ ท่านไยกล่าวเช่นนี้ ไม่รักข้าแล้วหรือเจ้าคะ”

เขาเอียนและเบื่อหน่ายกับคำว่ารักของนางเหลือเกินแล้ว หลังจากสูดหายใจลึกระงับอารมณ์จึงเอ่ยเสียงเข้มว่า

“เจ้าอยู่ที่เมืองหลวง อย่าก่อเรื่องเข้าใจหรือไม่”

“ท่านพี่ รักษาตัวด้วยนะเจ้าคะ”

หญิงสาวยกมือขึ้นโบกอำลา น้ำตาไหลอาบแก้ม ร้องไห้โฮราวกับเป็นสตรีที่ถูกทอดทิ้งไปตลอดกาล

ไป๋จิ้งหานส่ายหน้ากับท่าทางนี้ของนาง จากนั้นจึงขยับตัวขึ้นบนหลังม้า สายตาคมทอดมองนางที่ยังคงยืนโบกมือให้อยู่ แม้นางจะหลั่งน้ำตาแต่เขาก็เห็นอย่างชัดเจนว่าในดวงตาคู่นั้นช่างร่าเริงสดใสยิ่งนัก

หัวคิ้วขมวดมุ่น ไม่พอใจอย่างแรง น้ำเสียงเข้มดังขึ้นอีกครั้ง

“เหยียนซือเหยียน เจ้าจำคำพูดของข้าให้ดี อย่าทำเรื่องวุ่นวาย หากข้ากลับมาและพบว่าเจ้าก่อปัญหา ถึงเจ้าจะเป็นฮูหยินข้าก็จะไม่ไว้หน้าเจ้าเด็ดขาด”

เหยียนซือเหยียนรับคำหนักแน่น

“ท่านพี่เชื่อข้าได้ ข้าไม่ก่อเรื่องแน่นอนเจ้าค่ะ”

ไป๋จิ้งหานหรี่ตาลง เขายังไม่ไว้ใจสตรีนางนี้เลยแม้แต่น้อย ความรู้สึกหนักอึ้งเกิดขึ้นในใจอย่างบอกไม่ถูก แต่เขาไม่อาจเสียเวลาได้อีก จากนั้นจึงสั่งให้ตั้งขบวนเคลื่อนทัพอย่างเข้มแข็ง

ก่อนจะออกจากเมือง ไป๋จิ้งหานหันมามองสตรีร่างบางที่ยังคงยืนโบกมือให้อยู่ตรงนั้น ดวงหน้าของนางแม้จะเปื้อนน้ำตา แต่ยังงดงามราวกับภาพวาด อาภรณ์สีขาวพลิ้วไหวไปตามสายลม ริมฝีปากของนางสั่นระริกคล้ายต้องการกล่าวสิ่งใด

เขาอ่านปากของนางและเหมือนจะเข้าใจว่า

“ท่านพี่ ไปแล้วไม่ต้องกลับมาก็ดี”

ไป๋จิ้งหานกำมือแน่น แทบจะกระโดดลงจากหลังม้าจับภรรยาตัวดีมาสั่งสอนให้นางรู้กาละเทศะเสียบัดนี้

แต่สุดท้ายนางก็เพียงแค่ยิ้มบาง ๆ ให้เขา รอยยิ้มนี้ทำให้โทสะลดลงไปเป็นอย่างมาก หัวใจของเขาพลันกระตุกแปลก ๆ โดยที่เขาไม่รู้สาเหตุ จากนั้นจึงกระตุกบังเหียน หันหลังให้กับเมืองหลวงและสตรีร่างบางผู้กวนโทสะโดยไม่หันมามองอีก

ขณะเดียวกัน เหยียนซือเหยียนยังคงยืนอยู่ที่เดิมค่อย ๆ ลดมือลง ดวงตาเปี่ยมไปด้วยประกายสดใสแตกต่างจากเหยียนซือเหยียนที่ร้องห่มร้องไห้ส่งสามีคนเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง

“เซียวยี อาเหวิน”

“ขอรับ”

“เจ้าค่ะ”

เหยียนซือเหยียนหันมามองบ่าวรับใช้ที่ยืนอยู่ด้านหลังพลางใช้แพรพกซับน้ำตาจนเหือดแห้ง จากนั้นจึงเผยรอยยิ้มสดใสมองบ่าวรับใช้ทั้งสองคนด้วยดวงตาเปล่งประกายความตื่นเต้น

“ไปจวนองค์หญิงใหญ่กันเถอะ!”

เซียวยีเอ่ยถามทันใด

“จวนองค์หญิงใหญ่ ไปทำไมหรือเจ้าคะ คุณหนูไม่ได้ไปที่นั่นนานแล้วนะเจ้าคะ”

“ข้าคิดถึงญาติผู้พี่น่ะสิ อีกอย่างตั้งแต่ฝ่าบาทมอบชายงามให้องค์หญิงข้าก็ไม่เคยไปที่นั่นเลย ตัวข้าเองก็อยากเห็นบุรุษรูปงามของจวนองค์หญิงมานานแล้ว มีโอกาสก็ต้องรีบคว้าเอาไว้สิ”

“แต่ว่าคุณหนู ท่านเป็นฮูหยินท่านโหวแล้วนะเจ้าคะจะเหมาะสมหรือ”

“ก็เพราะว่าแต่งงานแล้ว จึงไปได้อย่างไรเล่าตอนที่เป็นคุณหนูสาม ถูกท่านแม่ห้ามเด็ดขาดไม่ให้พบพี่หญิงที่จวนเพียงลำพังเพราะอาจถูกครหา ตอนนี้แต่งงานออกเรือนจึงเป็นอิสระแล้ว ไปกันเถิดเร็วเข้าข้าคิดถึงญาติผู้พี่เกินทนแล้ว อาเหวินรีบไปนำรถม้ามาเร็วเข้า”

“ขอรับคุณหนู”

เซียวยีส่ายหน้าอย่างอับจนปัญญาที่จะขัดขวาง นี่คุณหนูของนางต้องการพบองค์หญิงใหญ่… หรือบุรุษรูปงามกันแน่!

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชาตินี้ ข้าไม่ขอรัก!