ทันทีที่ร่างกายของตงฟางจิ่งโงนเงน ก็ล้มลงบนที่นอน
ความหนาวเย็นกลุ่มหนึ่งแผ่ซ่านออกมา นางหนาวจนตัวสั่นระริก
เฟิ่งเชียนอวี่แอบถอนหายใจอย่างโล่งอก ที่แท้ก็พิษเหมันต์กำเริบ มิน่าล่ะถึงได้มีท่าทางเหมือนจะตายแบบนั้น ทำให้นางคิดไปเองว่าเจอผี
เสื้อชั้นในของตงฟางจิ่งได้เปียกชุ่มไปหมด จนแนบเนื้อ จากสายตาของเฟิ่งเชียนอวี่มองไป จึงสามารถมองเห็นเค้าโครงแผ่นหลังที่แข็งแกร่งและเรียบเนียนได้
นางตาสว่างทันที กระแอมเบา ๆ พยุงเขาขึ้นมาด้วยท่าทางที่ไม่รู้ไม่ชี้ ฉวยโอกาสใช้มือลูบขึ้นลงแอบแต๊ะอั๋งเขา
ตงฟางจิ่งไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าร่างกายไม่มีความรู้สึก ใบหน้าอันหล่อเหลาแข็งทื่อ กัดฟัน กล่าวอย่างลำบาก
“เจ้า บังอาจ”
เฟิ่งเชียนอวี่กลอกตาใส่ ไม่ใส่ใจ ตงฟางจิ่งตอนที่พิษกำเริบก็เป็นเหมือนกับเสือกระดาษ นางจะกลัวทำไม
“หื่นกระหายอะไร ท่านพิษเหมันต์กำเริบ พูดจาให้น้อยที่สุด ไม่กลัวเหนื่อยตายหรือไร”
หลังจากที่นางสัมผัสจนพอใจแล้ว ทันทีที่พลิกข้อมือ ยาเม็ดหนึ่งก็ปรากฏขึ้นกลางฝ่ามือ เฟิ่งเชียนอวี่ยัดเข้าไปในปากของเขาทันที ในเวลาเดียวกันก็สงสัย
“พิษเหมันต์ของท่านเพิ่งจะกำเริบเมื่อวาน เหตุใดวันนี้ถึงกำเริบอีกแล้วละ?” แบบนี้มันจะบ่อยเกินไปแล้ว
ตงฟางจิ่งหลับตาไม่สนใจนาง แต่ในใจกลับรู้สึกหนักอึ้ง เวลาที่พิษกำเริบยิ่งสั้นลงเรื่อย ๆ หมายความว่าพิษเหมันต์ภายในร่างกายใกล้จะระงับเอาไว้ไม่อยู่แล้ว
สำหรับเขาแล้ว ไม่ใช่ข่าวดีอย่างแน่นอน
ถูกเขามองข้าม เฟิ่งเชียนอวี่ก็ไม่สนใจเช่นกัน กำลังลูบกล้ามเนื้อที่ยังคงเย็นเฉียบและแข็งปังของเขา อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว ดูท่าฤทธิ์ของยาตัวนี้มีจำกัด
ถ้าไม่อยากให้พิษกำเริบอีก ยังไงก็ต้องแก้ปัญหาที่ต้นตอของพิษชนิดนี้ถึงจะได้
เฟิ่งเชียนอวี่กำลังครุ่นคิด อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ กล่าวพึมพำ “ท่านห้ามตายเป็นอันขาด”
ตงฟางจิ่งได้ยิน สีหน้าผ่อนคลายลงเล็กน้อย นับว่าผู้หญิงคนนี้ยังพอมีคุณธรรมอยู่บ้าง ผลปรากฏว่าครู่ต่อมา คำพูดของเฟิ่งเชียนอวี่ทำให้สีหน้าของเขาเย็นชากลับไปเป็นภูเขาน้ำแข็งอีกครั้ง
“อย่างน้อยก็อย่าเพิ่งตายตอนนี้...” นางยังมีเรื่องอีกมากมายที่ยังไม่ชัดเจน
สีหน้าของตงฟางจิ่งดูแย่มาก เต็มไปด้วยความอึมครึม ถ้าหากไม่ใช่ว่าเป็นเพราะตอนนี้ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ เขาคงจะต้องสั่งสอนผู้หญิงคนนี้ให้ดี ๆเสียหน่อย
......
เช้าวันรุ่งขึ้น เฟิ่งเชียนอวี่ตื่นแต่เช้าตรู่ หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ ก็เรียกสาวใช้ที่ชื่อหลิวซูที่อยู่ด้านข้างมาหา
เฟิ่งเชียนอวี่แต่งเข้ามา ทางจวนอ๋องได้จัดเตรียมสาวใช้ที่ชื่อหลิวซูกับอิ้งเยว่จำนวนสองคนเอาไว้คอยรับใช้นางในเรือนชิงหลาน สาวใช้ขั้นสองจำนวนสี่คน สาวใช้ขั้นสามจำนวนสิบสองคน ยังมีสาวใช้สูงวัยที่ทำงานหยาบและสาวใช้ที่ร่างกายบึกบึนอีกหลายคน
“พระชายา” หลิวซูคำนับอย่างนอบน้อม
เฟิ่งเชียนอวี่กล่าวถาม “ที่นี่มีหนังสืออะไรที่น่าอ่านบ้างหรือไม่ ข้าไม่มีอะไรทำ อยากจะหาอะไรฆ่าเวลาเสียหน่อย”
“มีเจ้าค่ะ บ่าวจะไปนำมาให้ท่าน”
ในไม่ช้า หลิวซูก็ยกลังไม้ที่ประณีตลังหนึ่งเดินเข้ามา
ทันทีที่นางเปิดดู มุมปากก็กระตุก
ด้านในนี้ทั้งหมดเป็นหนังสือจริง ๆ แถมยังมีไม่น้อยอีกด้วย แต่เมื่อลองพลิกดู ทั้งหมดเป็นคัมภีร์กตัญญูคุณธรรมของสตรี ข้อห้ามของสตรี คำสั่งสอนของสตรี คัมภีร์กตัญญู แม้แต่คัมภีร์พระไตรปิฎกก็ยังมีอยู่หลายเล่ม
ลึกลงไปด้านล่างอีก ก็คือบทละครพื้นบ้าน ชีวประวัติ นิยายจำพวกเวอร์ชันโบราณบางส่วน ตอนที่ไม่มีอะไรทำก็สามารถเอามาอ่านได้
แต่ตอนนี้ของที่นางอยากได้ ไม่ใช่ของพวกนี้
เฟิ่งเชียนอวี่หันไปมองหลิวซู “ยังมีอย่างอื่นอีกหรือไม่ อย่างเช่น หนังสือประวัติศาสตร์ จือจื้อทงเจี้ยน กฎหมายจำพวกนี้?”
หลิวซูตกตะลึง ไม่เข้าใจเป็นอย่างยิ่ง “พระชายา ท่านอยากจะอ่านหนังสือพวกนี้หรือเจ้าคะ? มีแต่ผู้ชายถึงจะอ่านหนังสือพวกนี้นะเจ้าคะ”
พระชายาเป็นผู้หญิง ผู้หญิงไม่จำเป็นต้องสอบเพื่อเข้ารับราชการเหมือนผู้ชาย จะอ่านหนังสือพวกนี้ไปทำไมกัน?
ความสามารถในการทำงานของหลิวซูว่องไวมาก หาซื้อหนังสือที่เฟิ่งเชียนอวี่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว มีความหลากหลายมาก กองเต็มพื้น
นางเลือกหนังสือมาสิบกว่าเล่ม ตามชื่อหนังสือและประเภท ส่วนที่เหลือก็ให้บรรดาสาวใช้ยกไปเก็บไว้ที่ห้องเก็บของจากนั้นสั่งให้ทุกคน ให้ขังตัวอยู่ในห้องแล้วอ่านหนังสือ
ตลอดทั้งช่วงบ่าย นางเอาแต่อ่านหนังสือพวกนี้ จากการอ่านบันทึกประวัติศาสตร์ ในที่สุดนางก็เข้าใจสถานที่แห่งนี้แล้ว
ที่นี่ไม่ใช่รัชสมัยหนึ่งใดที่อยู่ในบันทึกประวัติศาสตร์ของยุคสมัยปัจจุบันเลย แต่เป็นยุคสมัยที่สร้างขึ้นมาลอย ๆ
แต่ว่าการแต่งกายของชาวแคว้นตงเยว่ ค่อนข้างคล้ายกับสมัยราชวงศ์ชิงฮั่น ผู้ชายสวมชุดยาวและกวานหยก ผู้หญิงสวมชุดกระโปรงหรู่
แผ่นดินในตอนนี้ สร้างขึ้นเป็นตง หนาน ซี เป่ยสี่แคว้น แบ่งออกเป็นแคว้นตงเยว่ แคว้นหนานทง แคว้นซีเหลียงและแคว้นเป่ยชาง
พื้นที่บริเวณรอบ ๆ ของแต่ละแคว้น ยังมีแคว้นบริวารเล็ก ๆอีกไม่น้อย แล้วยังประกอบไปด้วยแคว้นนอกทะเล พวกคนป่าเถื่อนแห่งทุ่งหญ้าเป็นต้น
กำลังทางการทหารของทั้งสี่แคว้นใหญ่สูสีกัน แต่เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ของตงเยว่ดีกว่าเล็กน้อย การติดต่อค้าขายระหว่างทิศใต้กับทิศเหนือ ลักษณะพื้นภูมิเจริญรุ่งเรือง
มีแผนที่แผ่นใหญ่มากแผ่นหนึ่งกางอยู่ตรงหน้าของเฟิ่งเชียนอวี่ ที่แห่งนี้เรียกว่า ‘ภาพฐาน’ เมื่อมองอย่างชัดเจน ก็มีความมั่นใจขึ้นมาแล้ว
นางกำลังเท้าคาง ทำท่าทางเหมือนคิดอะไรอยู่
ตนยอมแต่งงานแทน ก็เพราะอยากจะกระโดดออกมาจากกองเพลิงอย่างจวนอัครเสนาบดีนั่น ยังหวังว่าท่านอ๋องหกจะเป็นคนขี้โรคที่จะตายได้ทุกเมื่อ นางก็จะได้กลายเป็นแม่หม้ายที่ร่ำรวย
ผลปรากฏว่าจินตนาการเต็มไปด้วยความสวยงาม แต่ความเป็นจริงกลับทุเรศทุรัง
เท้าซ้ายก้าวออกมาจากกองเพลิงได้สำเร็จแล้ว แต่สิ่งเท้าขวาข้ามมา ก็ไม่ใช่สถานที่ดีงามอะไร แล้วท่านอ๋องหกนั่นก็ไม่ใช่คนขี้โรค แถมยังเป็นไอ้ก้อนน้ำแข็งอีกต่างหาก
นางเพิ่งจะแต่งเข้ามาวันแรกก็เจอเข้ากับการลอบสังหารแล้ว วันที่สองก็เกือบถูกส่งไปลงนรก แถมยังต้องเผชิญหน้ากับไอ้หน้าตายที่เดี๋ยวคุ้มดีเดี๋ยวคุ้มร้ายอย่างตงฟางจิ่งอีก เรียกได้ว่าไม่มีอะไรแย่ไปกว่านี้อีกแล้ว
_________________
[1] จือจื้อทงเจี้ยน คือ หนังสือที่เกี่ยวกับการเมือง การทหาร และความสัมพันธ์ระดับชาติ ทั้งยังกล่าวถึงเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และบุคคลสำคัญ

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาแพทย์เสด็จ : ท่านอ๋องควรดื่มยาแล้ว