ซุปเปอร์เจ้าสำราญ นิยาย บท 22

บทที่ 22 “หนู”ใต้ดิน

ยี่สิบนาทีต่อมา จางฉีโม่และหลินอิ่งก็กลับมาถึงชุมชนเจียงฉือ

เพียงแค่หลินอิ่งเดินเข้าประตู สองผู้อาวุโสในครอบครัวก็อดใจไม่ไหวลุกขึ้นจากโซฟาและไต่ถามขึ้นว่า

“หลินอิ่ง ฉีโม่ อัญมณีที่อยู่ในความรับผิดชอบถูกขโมยไปมันเกิดอะไรขึ้น? ทำไมคุณไม่ดูให้ดี!”  

สองผู้อาวุโสนี้ได้รับข่าวก่อนแล้ว เวลานี้ก็ร้อนใจเหมือนกับมดบนหม้อร้อน

ลูกสาวของตนเองมีโอกาสที่จะมีหน้ามีตาด้วยความยากลำบากขนาดนี้ ถ้าล้มเหลวเพราะเรื่องนี้ พวกเขาก็จะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต

“ไม่มีอะไร เป็นแค่เรื่องเล็กๆ” หลินอิ่งตอบกลับด้วยอารมณ์ที่สงบ

“ยังเป็นเรื่องเล็กอีกหรอ! คุณคิดว่าพวกเราเป็นคนแก่ขี้หลงขี้ลืมจริงๆงั้นสิ? ลู่หย่าฮุ่ยกล่าวด้วยความโกรธอย่างมาก “ฉีโม่ออกแบบเองกับมือ และอีกอย่างเครื่องประดับอัญมณีมูลค่ากว่าสิบล้านนั้นที่รับผิดชอบอยู่ถูกขโมยไป คุณรู้บ้างไหมว่ามันส่งผลกระทบมากขนาดไหน?”

“จางซิ่วเฟิง คุณดูสิ ดูลูกเขยแสนดีของคุณเถอะ! ท่าทางเขาจะไม่ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย!” ลู่หย่าฮุ่ยยยิ่งมองหลินอิ่ง ก็รู้สึกโมโห “ไม่จริงจังกับเรื่องนี้ทั้งสิ้น! เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ในความรับผิดชอบของฉีโม่ เขากลับไม่กังวลใจเลยแม้แต่น้อย!”  

จางซิ่วเฟิงก็ขมวดคิ้วขึ้น มองไปยังหลินอิ่ง กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักใจว่า: “หลินอิ่ง ฉีโม่ให้คุณดำรงตำแหน่งเป็นผู้ช่วยผู้บริหาร ก็คือต้องการให้คุณช่วยดูแล ทำไมคุณถึงสะเพร่าทำผิดพลาดมากมายขนาดนี้?”

“โธ่เอ๋ย ตอนแรกฉันบอกว่ายังไงล่ะ?” ลู่หย่าฮุ่ยกล่าวอย่างทอดถอนใจ “บอกแล้วว่าหลินอิ่งก็เป็นคนขี้ขลาดตาขาวไม่มีความสามารถคนนึง ไม่สามารถให้เขามาเป็นผู้ช่วยของฉีโม่ได้ พูดแล้วจริงไหมล่ะ? งานยุ่งอะไรก็ช่วยไม่ได้ ฉีโม่ล้วนขลุกอยู่กับการค้นคว้าวิจัยอัญมณีทุกวัน แต่คุณแม้กระทั่งสิ่งของก็ดูแลรักษาไว้ไม่ได้ จะไปทำอะไรกินห๊ะ?”  

ลู่หย่าฮุ่ยยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห กล่าวด้วยความไม่พอใจว่า: “อีกอย่างฉันได้ยินมาว่า หลินอิ่ง คุณที่ต่อหน้าผู้บริหารระดับสูงในบริษัท คุยโวโอ้อวด บอกว่ารับรองว่าพรุ่งนี้จะนำเครื่องประดับKing of the worldชิ้นนี้มาแสดงในนิทรรศการ นี่คือคุณยังก่อเรื่องวุ่นวายไม่พออีกใช่ไหม! คุณมันตัวก่อเรื่อง!”

“แม่ อย่าโกรธเลย” จางฉีโม่พูดโน้มน้าว “เรื่องไม่ร้ายแรงอย่างที่คุณคิดขนาดนั้นหรอก”

“ยังไม่ร้ายแรงอีกหรอ?” ลู่หย่าฮุ่ยกระทืบเท้าด้วยความโกรธ “คุณรู้ไหมว่าภายนอกซุบซิบกันว่ายังไง? ล้วนพูดว่าครอบครัวพวกเราฉ้อโกง ขโมยเครื่องประดับอัญมณีนั้นไป! ยังมีข่าวลืออีก บอกว่าคุณไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะทำเครื่องประดับออกมา โยกย้ายถ่ายเทเงินทุนของโครงการ สุดท้ายก็ต้องบอกว่าเครื่องประดับชุดนี้ถูกขโมย ข่าวลือต่างก็บอกว่าครอบครัวพวกเราใกล้จะติดคุกแล้ว!”

ลู่หย่าฮุ่ยพูดโน้มน้าวด้วยความหวังดีว่า: “ลูก คุณคือความหวังของครอบครัวพวกเรา ไม่ง่ายเลยที่คุณจะได้รับโอกาสสักครั้งหนึ่ง ได้รับจากผู้บริหารระดับสูง เลื่อนขั้นให้เป็นผู้แทนผู้บริหารของกลุ่ม เมื่อเห็นการเปิดนิทรรศการในวันพรุ่งนี้ ก็จะต้องมีชื่อเสียง และก้าวไปข้างหน้า!”

“ผลสุดท้าย ก็เกิดเรื่องราวแบบนี้ในช่วงเวลาที่สำคัญขณะนี้ คุณบอกสิว่ากลุ่มกรรมการบริษัทจะยังชื่นชมคุณอยู่ไหม? คุณจะต้องตกงานเป็นแน่!”

จางซิ่วเฟิงก็กล่าวด้วยสีหน้าท่าทางที่เป็นกังวลว่า: “ไม่ได้เป็นผู้บริหารก็ช่างเถอะ ปัญหาคือ เครื่องประดับอัญมณีสิบล้านที่หายไปนี้ ทั้งยังเรื่องนิทรรศการอัญมณีนี้อีก ส่งผลกระทบต่อยุทธศาสตร์การขายของกลุ่มอย่างมาก สืบลงมาจากคณะกรรมการบริหารก็ต้องรับผิดชอบอย่างหนัก อีกอย่าง ตอนนี้เจ้าใหญ่และเจ้าสามกัดเรื่องนี้ไม่ปล่อย ชัดเจนว่าคือได้ทีขี่แพะไล่”

“ใช่ๆ! ครอบครัวจางเถียนไห่และจางจี้หนิงทำไมถึงกัดไม่ปล่อยกันละ? ตอนแรกที่ครอบครัวยังไม่ได้แต่งงาน หลินอิ่งก็ไปก่อความวุ่นวายในพิธีแต่งงานของครอบครัวจางจี้หนิง! ยังต่อยจางเถียนไห่อีกล่ะ!” ลู่หย่าฮุ่ยกล่าวด้วยสีหน้าอารมณ์ที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้น “

“ครอบครัวพวกเราเคยผ่านความยากลำบากมาหลายวันคืน พอมีความหวังเพียงเล็กน้อย ก็ต้องถูกตัวซวยอย่างคุณทำลายอีก!” ลู่หย่าฮุ่ยกล่าวอย่างไม่ฟังเสียง ปลดปล่อยความโมโหไปบนร่างของหลินอิ่ง

“ใช่แล้ว ไม่ได้ยินเรื่องนี้จากคนอื่น ฉันก็คงยังไม่รู้หรอก” ทันทีลู่หย่าฮุ่ยก็นึกอะไรขึ้นมาได้ มองไปยังจางฉีโม่ กล่าวถามอย่างจริงจังว่า “ลูก BMWคันนั้นที่คุณถอยมา เป็นยังไงบ้าง?”

เธอรู้แต่ว่าเงินฝากของลูกสาวสามารถถอยรถคันละห้าแสนได้คันนึง

“รถคันนั้น คือหลินอิ่ง……” จางฉีโม่กำลังจะพูดว่าหลินอิ่งเป็นคนซื้อ

“หลินอิ่ง! คุณอีกแล้ว!” ลู่หย่าฮุ่ยตรงเข้าหยุดคำพูดของจางฉีโม่ มองหลินอิ่งอย่างเย็นชา “เมื่อก่อนฉันบอกว่าคุณเป็นคนขี้ขลาดตาขาวไม่มีความสามารถคนนึง ไม่เพียงแต่ไม่มีจิตสำนึก ยังเลวสิ้นดี! ให้คุณเป็นผู้ช่วยผู้บริหารคุณก็เปิดเผยธาตุแท้แล้ว! ฉันว่าแล้วว่าลูกสาวฉันจะเก็บเกี่ยวกำไรได้ยังไง ที่แท้ทั้งหมดก็คือคุณที่ยุยงส่งเสริม!”

“คุณร่วมกันฉีโม่รับผิดชอบโครงการนี้ของบริษัท เกรงว่าตนเองจะหาผลประโยชน์ได้จำนวนไม่น้อยใช่ไหม? อัญมณีที่ถูกขโมยไปครั้งนี้ ไม่เกี่ยวข้องกับคุณงั้นสิ? ลู่หย่าฮุ่ยกล่าวด้วยสีหน้าที่สงสัย

“แม่ เป็นไปไม่ได้ หลินอิ่งไม่ทำเรื่องแบบนี้หรอก” จางฉีโม่ช่วยหลินอิ่งพูด

“คุณรู้ได้ยังไงว่าเขาไม่ได้ทำ?” ลู่หย่าฮุ่ยกล่าวถาม ปรากฎให้เห็นเส้นเลือดที่หน้าผาก โมโหจนสูญเสียความมีเหตุผลไป

ตื๊ด!

ขณะนี้ มือถือของหลินอิ่งก็ดังขึ้น เขาปรายตาไปมอง คือเสิ่นซานโทรเข้ามา

“ฉีโม่ พ่อแม่ ฉันยังมีธุระที่ต้องจัดการ ขอตัวก่อน” หลินอิ่งกล่าวด้วยสีหน้าปกติ แล้วก็เดินออกจากประตูห้องไป

“อ๊ะ? ฉีโม่ คุณดูสิ หลินอิ่งเขาปีกกล้าขาแข็งนะ! พูดกับเขาสองประโยคยังมาแสดงสีหน้าให้พวกเราดูอีก!” ลู่หย่าฮุ่ยแสดงท่าทางเดือดดาลเป็นอย่างยิ่ง

“หย่า! ต้องหย่า!” ลู่หย่าฮุ่ยพูดอย่างเด็ดขาด “ลูก ฉันดูออก หลินอิ่งเจ้าหมอนี่ก็คือเฉิน ชื่อเหม่ย์(ผู้ชายเลวทรามที่ทอดทิ้งลูกเมีย) ฉันมองว่าเขาอยู่ข้างนอกต้องมีแผนชั่วอะไรเป็นแน่ เดาว่าครั้งนี้จะต้องแสดงหาผลประโยชน์จำนวนมากจากบริษัท ถึงเวลานั้นจะทำให้คุณกลายเป็นแพะรับบาป

ไม่อย่างนั้นจะนิ่งเฉยขนาดนี้ได้ยังไง?”

“ลูก ครั้งนี้คุณไม่เห็นด้วยก็ไม่มีประโยชน์แล้ว” ลู่หย่าฮุ่ยพูดด้วยสีหน้าปกติ “พรุ่งนี้จะต้องขับไล่หลินอิ่งออกไปจากบ้านของพวกเรา ไม่เช่นนั้นก็ต้องเกิดความหายนะไม่มีที่สิ้นสุด!”

จางฉีโม่ทนฟังต่อไปไม่ไหว จึงกลับเข้าไปพักผ่อนในห้องของตนเอง

“เฮ้อ” จางฉีโม่เอนกายลงบนเตียง ทอดถอนใจ พ่อกับแม่ที่อยู่ด้านนอกห้องยังเอะอะโวยวายกับเรื่องนี้ไม่จบไม่สิ้น

ตึ๊ง

เวลานี้ จางฉีโม่ได้รับข้อความข้อความนึง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซุปเปอร์เจ้าสำราญ