ผู้ป่วยรอบๆ ได้ยินเตียงสิบถามคำถามนี้จึงพากันเอียงหูฟัง
พวกเขาอยากรู้จริงๆ ว่าการผายลมกับการกินข้าวเกี่ยวข้องกันอย่างไร?
เฉินปิ่งเซิงกำลังจะพูด แต่จู่ๆ ก็หันไปมองเฉินชางที่กลั้นหัวเราะจนหน้าม่วง ถลึงตาใส่แล้วเอ่ยถาม “ทำไมผายลมแล้วถึงกินข้าวได้?”
เฉินชางได้ยินดังนั้นจึงรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ “โดยทั่วไป หลังการผ่าตัดเสร็จ หมอจะใช้การผายลมมาวินิจฉัยว่าลำไส้เป็นปกติหรือไม่”
“โดยปกติหลังการผ่าตัดส่วนท้องประมาณหนึ่งถึงสองวันผู้ป่วยจะผายลมไม่ได้ นั่นเพราะผลของยาชาที่ใช้ในการผ่าตัดและวิธีการผ่าตัดซึ่งไปกระตุ้นให้เกิดลมเย็นในช่องท้อง ทำให้ลำไส้ชาชั่วคราวจนผายลมไม่ได้ เมื่อลำไส้ค่อยๆ ฟื้นตัว ผู้ป่วยจะรู้สึกถึงความเจ็บปวดบริเวณช่องท้องและอาจได้ยินเสียงท้องร้องโครกคราก ซึ่งเป็นสัญญาณแรกในการผายลม ตอนนี้เท่ากับว่าระบบลำไส้ฟื้นตัวแล้ว จึงทำให้แรงกดที่ช่องท้องคลายตัวและเริ่มกินอาหารได้”
เมื่อได้ฟังคำอธิบายของเฉินชาง ทุกคนรอบๆ ก็พากันพยักหน้าเข้าใจ
ว่ากันตามปกติ…การมาตรวจผู้ป่วยกับเฉินปิ่งเซิงมักจะเป็นแบบนี้
เฉินชางถึงกับสงสัยว่าเฉินปิ่งเซิงจงใจหรือไม่ ทักษะในการเย็บแผลของเฉินปิ่งเซิงฝึกมาแบบนี้ใช่หรือไม่!
หลังจากเย็บแผลผู้ป่วยเสร็จแล้วก็ทำให้หัวเราะจนแผลเปิด…จากนั้นก็เย็บใหม่…แล้วแกล้งให้แผลเปิด…
ก่อนเดินออกไป ผู้ป่วยหญิงเตียงแปดยังมองไปทางเฉินปิ่งเซิงอย่างไม่ยอมแพ้ “หมอคะ…การผ่าตัดของฉันเลื่อนออกไปอีกหน่อยได้หรือเปล่าคะ? ฉันคิดว่าพรุ่งนี้…”
เฉินปิ่งเซิงหัวเราะ “การผ่าตัดต้องให้ผมคิด ไม่ใช่ให้คุณคิดนะครับ…”
เมื่อเห็นอีกฝ่ายคิดจะพูดต่อ เฉินปิ่งเซิงจึงพูดออกมาเรียบๆ ประโยคหนึ่ง “ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้กันแล้ว ฟังผมเถอะ ฟังผมนะครับ”
พูดจบเฉินปิ่งเซิงก็เดินออกไป คนไข้ในห้องอดหัวเราะไม่ได้ บางครั้งก็หัวเราะทั้งน้ำตา หัวเราะจนเจ็บแผล…
แม้แต่ผู้ป่วยหญิงเตียงแปดก็ถูกหยอกล้อจนหัวเราะออกมา
ทุกคนต่างก็เล่นมือถือ ย่อมรู้ว่าเหล่าเฉินกำลังเล่นมุขที่กำลังโด่งดังในตอนนี้ รวมกับที่เหล่าเฉินมีความสามารถในการเข้าสังคมสูง ดังนั้นทุกคนจึงชอบหมอเฉินคนนี้มาก
เขาไม่วางมาด มีนิสัยขบขัน เข้าหาง่าย แต่ก็มีหลักการของตัวเอง คิดถึงผู้ป่วยทุกอย่าง
เมื่อออกตรวจผู้ป่วยเสร็จ เฉินชางก็ตามเหล่าเฉินไปผ่าตัด
จากการผ่าตัดไส้ติ่งในอาทิตย์ที่แล้วของเฉินชางจนถึงตอนนี้ก็ผ่านไปหลายวันแล้ว ในหลายวันนี้เฉินชางไม่ได้ผ่าตัดอะไรอีก
แต่หลังจากได้รับประสบการณ์การผ่าไส้ติ่งของเหล่าเฉิน ระดับทักษะการผ่าตัดไส้ติ่งของเฉินชางก็พัฒนาไปถึงระดับกลาง
นี่เท่ากับว่าเฉินชางทำการผ่าไส้ติ่งปกติได้ด้วยตัวคนเดียวแล้ว
ระดับต้นกับระดับกลางแตกต่างกันค่อนข้างมาก
ถึงแม้ครั้งแรกเฉินชางจะทำสำเร็จแต่ก็เก้กังมาก ให้ความรู้สึกเหมือนนักเรียนที่ไปสอบใบขับขี่ เพิ่งจะผ่านการสอบและได้รับใบขับขี่มาแล้ว แต่ยังต้องใช้เวลาฝึกฝนอีกระยะหนึ่ง ดังนั้นต่อไปจึงต้องให้คนขับรถผู้มีประสบการณ์นั่งเป็นเพื่อนก่อน
แต่ระดับกลางเทียบเท่ากับคนขับรถที่คุ้นเคยกับถนน เผชิญหน้ากับสถานการณ์แต่ละอย่างบนถนนได้แล้ว
ดังนั้นเฉินชางในตอนนี้ไม่ใช่เด็กน้อยเหมือนตอนแรกอีก!
แม้แต่บรรยากาศตอนที่เดินเข้าไปในห้องผ่าตัดก็ยังดูแตกต่างออกไป ดูเหมือนจะมีมาดอยู่บ้าง?
หลิวเจี้ยนยิ้ม “วันนี้ใครทำ?”
เฉินชางไอแค่กๆ ออกมา “ผมครับ”
หลิวเจี้ยนพยักหน้า “ทำดีๆ นะครับ อีกสักครู่ผมจะวางยาให้ ใช่แล้ว เสี่ยวเฉิน ผมว่าคุณใช้มือถือถ่ายขั้นตอนผ่าตัดอย่างละเอียดไว้หน่อยก็ดีนะครับ กลับไปก็ดูให้ดีว่าตรงไหนยังทำไม่ดีพอ ผมจำได้ว่าตอนผมฝึกงานที่ปักกิ่ง หัวหน้าที่นั่นก็สอนนักเรียนแบบนี้”
เมื่อหลิวเจี้ยนพูดประโยคนี้ออกมา ทำให้เฉินชางดวงตาเป็นประกายทันที
เป็นวิธีที่ไม่เลวเลย!
ฉินเล่อเล่อยิ้ม พยักหน้าเห็นด้วย “ฉันจะไปตามเด็กฝึกงานให้คนหนึ่งนะคะ”
การผ่าตัดจะเริ่มขึ้นแล้ว เมื่อแต่ละส่วนงานเตรียมพร้อมเรียบร้อยก็เริ่มผ่าตัด
เฉินชางยังคงเริ่มจากการทำสัญลักษณ์วาดเส้นผ่า
ดูผิวเผินเหมือนเป็นการผ่าเปิดธรรมดา แต่เมื่อเฉินชางเริ่มลงมือ เหล่าเฉินก็ต้องขมวดคิ้ว!
เพราะเขารู้สึกเหมือนกับมีดเป็นส่วนหนึ่งของตัวเอง!
ปกติมีน้อยคนที่จะจับมีดกรีดลงไปแบบนี้ ดังนั้นดูเหมือนนี่จะเป็นวิธีการเฉพาะตัวของเฉินปิ่งเซิง
เมื่อกรีดตามวิธีของเขาจะช่วยหลีกเลี่ยงไม่ให้เส้นประสาทบาดเจ็บ เป็นเทคนิคเล็กๆ ที่เหล่าเฉินขัดเกลาออกมาจากประสบการณ์หลายปีก่อน
แล้วเฉินชางล่ะ?
เข้าใจเรื่องนี้ด้วยตัวเองหรือ?
เป็นไปไม่ได้น่ะ?
การผ่าตัดดูเหมือนไม่มีอะไรซับซ้อน แต่ความจริงทุกขั้นตอนต้องใคร่ครวญให้ดี ก็เหมือนกับที่เหล่าเฉินพูด ถ้าฝีมือคนไม่ถึงขั้น แค่ดูก็ยังดูไม่เข้าใจ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ