ตอนที่ 105 เป็นหมามันไม่ดีตรงไหน
“นี่นาย…”
เหล่าโจวเห็นว่าหลังจากที่หลินเยวียนเลิกงาน ก็หอบกล่องใบชากลับมาที่ห้องทำงานเขา จึงอดรู้สึกงุนงงไม่ได้
“ใบชา”
หลินเยวียนเอ่ย
เหล่าโจวหลุดหัวเราะ “นายยังไปซื้อใบชามาคืนฉันอีกเหรอ ไม่เป็นไรหรอก เลี้ยงทุกคนไปแล้วก็แล้วไปเถอะ ฉันไม่ได้ขี้งกถึงขนาดนั้น”
“รับไปเถอะครับ”
หลินเยวียนหยิบใบชาใส่ลิ้นชัก
เหล่าโจวพูดอย่างไม่ใส่ใจ “งั้นก็เก็บไว้ในนั้นแหละ ต่อไปนายอยากกินชาก็มาชง ไม่ต้องเกรงใจฉัน”
“ได้ครับ”
หลินเยวียนวางใบชาลงแล้วก็เดินออกไป ตอนที่เดินผ่านพื้นที่พักผ่อน อยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงซึ่งคุ้นเคยดังมาจากด้านหน้า
เสียงของซุนเย่าหั่ว
ซุนเย่าหั่วตอนนี้กำลังถูกนักร้องตัวเล็กๆ ในบริษัทห้อมล้อม ในดวงตาของนักร้องตัวเล็กเหล่านี้เปี่ยมไปด้วยความชื่นชมและอิจฉาซุนเย่าหั่ว สายตาแบบนี้แทบไม่ได้ต่างกับสายตาที่สมาชิกชมรมจิตรกรรมมองหลินเยวียนเลย
ซุนเย่าหั่วกำลังอวดเบ่งอยู่
กล่าวให้ชัดก็คือซุนเย่าหั่วกำลังปาฐกถาเกี่ยวกับความสำเร็จอยู่ “อันที่จริงความสำเร็จนั้นง่ายมากครับ บากบั่นพากเพียรสองคำนี้ก็เพียงพอแล้ว พวกนายเห็นแค่ความสำเร็จของฉัน แต่กลับไม่เห็นหยาดเหงื่อเพื่อความสำเร็จของฉัน นายเคยเห็นพระอาทิตย์ตอนตีหนึ่งมั้ยล่ะ”
“พระอาทิตย์ตอนตีหนึ่ง?”
“นี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ประเด็นสำคัญก็คือฉันตื่นมาทุกวันต้องวอร์มเสียง ทุกวันต้องซ้อมค่าความจุปอด ฉันเลิกสูบบุหรี่เลิกดื่มเหล้าเพื่อการร้องเพลง แม้แต่พริกที่ตอนเด็กๆ ฉันชอบกินที่สุดก็ยังไม่แตะแม้แต่นิดเดียว!”
“พี่ซุนพูดอะไรที่แตกต่างหน่อยได้มั้ยคะ”
“ก็แค่ คำพูดพวกนี้พวกเราฟังบ่อยแล้วครับ”
“พวกเรามีใครไม่บากบั่น พากเพียรกันล่ะ”
ซุนเย่าหั่วนั่งแผ่บนโซฟาอย่างสบายอารมณ์ พูดอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อน “ก็ได้ งั้นจะพูดอะไรที่แตกต่าง ที่จริงแล้วเป็นเคล็ดลับความสำเร็จเลยละ!”
“เคล็ดลับอะไรเหรอคะ!”
ดวงตาของทุกคนเป็นประกาย
ซุนเย่าหั่วยิ้มบาง “สำหรับหน้าใหม่แล้ว เคล็ดลับของความสำเร็จง่ายมาก ขอเพียงได้ร่วมงานกับพ่อเพลง ต่อให้ล่ามนายให้ร้องในสตูดิโอเล่นๆ ก็ยังได้!”
“งั้นก็เหมือนหมาไม่ใช่เหรอครับ”
มีคนหลุดปากพูดออกมา ก่อนจะรีบรูดซิปปากสนิท มองซุนเย่าหั่วอย่างหวาดระแวง เห็นชัดว่าตระหนักได้ว่าตนพลั้งปากไปแล้ว
“ฮ่าๆ”
ซุนเย่าหั่วตบไหล่คนนั้น ผุดยิ้มบาง “คำพูดนี้ฉันเคยได้ยิน ตอนนั้นฉันใช้เพลงชีวิตดุจมวลผกายามคิมหันต์เดบิวต์ ก็มีหลายคนเคยพูดว่าเพลงนี้ต่อให้สตูดิโอจับหมามาร้องก็ดังได้!”
ทุกคนพูด “พูดเกินไปหรือเปล่า!”
ซุนเย่าหั่วส่ายหน้า “ไม่ๆๆๆ ถึงได้บอกว่าพวกนายยังอายุน้อยเกินไป ทุกคนบอกกันว่าฉันเป็นหมาตัวหนึ่งของเซี่ยนอวี๋ แต่พวกนายดูซุนเย่าหั่วในตอนนี้สิ พวกนายบอกฉันมา…ว่าเป็นหมามันไม่ดีตรงไหน”
เมื่อเผชิญหน้ากับนักร้องเบอร์ใหญ่ เด็กใหม่ก็กลายเป็นแค่มด!
ชั่วชีวิตนี้ซุนเย่าหั่วไม่มีทางลืมภาพเหตุการณ์ที่เถาหรานหยิบนามบัตรออกมาแล้วให้ตนยกเพลงกุหลาบแดงให้ ในตอนนั้นเขารับรู้ได้ว่าอะไรคือการมองคนเป็นหมาที่แท้จริง
ทุกคนแลดูราวกับกำลังอยู่ในห้วงความคิด
หลินเยวียนเอ่ยขึ้น “รุ่นพี่”
ซุนเย่าหั่วได้ยินเสียงนี้ก็ตื่นตัวขึ้นมาฉับพลัน ท่ามกลางการจับตามองอย่างตกตะลึงของทุกคนโดยรอบ สีหน้าเปลี่ยนไปในทันที สีหน้าประกอบไปด้วยความกระตือรือร้นสามส่วน สามส่วนถัดมาคือประจบประแจง อีกสามส่วนคือความถ่อมตัว และอีกหนึ่งส่วนคือศักดิ์ศรีที่ทั้งไม่ได้ต่ำต้อยและไม่หยิ่งผยอง…
ศักดิ์ศรี?
“รุ่นน้องนายอยากได้อะไรหรือเปล่า”
“นั่งรถพี่ได้มั้ยครับ”
หลินเยวียนตัดสินใจว่าจะไม่เรียกรถ
ซุนเย่าหั่วยังไม่ทันได้ตอบ ผู้คนรอบตัวเขาลุกพรวดขึ้นมาห้อมล้อมหลินเยวียน ปฏิกิริยาตอบสนองเร็วกว่าซุนเย่าหั่วหลายเท่าเลยทีเดียว “อาจารย์เซี่ยนอวี๋เลิกงานแล้วใช่มั้ยครับ นั่งรถผมกลับมั้ยครับ”
“ฉันก็มีรถนะคะ!”
“ฉันไปส่งดีกว่าค่ะ!”
“รถของผมซื้อมาสามแสนเลยนะครับ!”
เจ้าพวกนี้เรียนรู้ได้เร็วขนาดนี้เลยเหรอ
นี่มันกระบวนการของลูกศิษย์ที่กำลังจะปล่อยให้อาจารย์อดตายนี่หว่า
ซุนเย่าหั่วเกิดความรู้สึกระแวงขั้นรุนแรงขึ้นมาทันที รีบเดินไปอยู่ข้างหลินเยวียน “วันนี้รุ่นน้องชอบอุณหภูมิแบบเดิมเนอะ ฉันจะให้คนปรับอุณหภูมิแอร์ไว้ก่อน ระหว่างทางจะผ่านร้านชานมที่ฉันลงทุนเปิดไปก่อนหน้านี้ มีทุกรสชาติ อาหารเย็นพวกเราก็แวะกินแถวนั้นเลยแล้วกัน ตรงนั้นมีร้านอาหารที่ดังมากๆ ฉันจองไว้ตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว!”
ทุกคน “…”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน