Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน นิยาย บท 173

ตอนที่ 173 บรรยากาศมาคุ (2)

ประโยคนี้ไปเตือนสติประธานกรรมการหลี่ซ่งหวาเข้าเต็มเปา สุดท้ายแล้วคำสั่งนี้ก็ไปตกอยู่ที่หลินเยวียน เพราะผลงานของหลินเยวียนก่อนหน้านี้และความสำเร็จที่เขาสร้างระหว่างอยู่ที่บริษัทย่อย ก็ได้ดึงให้ระดับความเป็นมือทองของหลินเยวียนขึ้นไปอีกขั้น

จะเรียกหลินเยวียนว่าพ่อเพลงก็อาจเกินไปสักหน่อย

แต่ถ้านำอายุมาเป็นปัจจัยในการพิจารณาแล้ว จะให้เรียกหลินเยวียนว่า ‘พ่อเพลงตัวน้อย’ ก็คงไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ถึงอย่างไรอายุอย่างหลินเยวียนประสบความสำเร็จด้านการประพันธ์เพลงระดับนี้ ก็เป็นประจักษ์แล้วว่าเขามีศักยภาพมากแค่ไหนที่จะกลายเป็นพ่อเพลงในอนาคต!

หานซิ่วกระแอมครั้งหนึ่ง

ก่อนจะกล่าวว่า “นี่เป็นเพียงการตัดสินใจชั่วคราว กว่าบริษัทจะดำเนินการระบบนี้อย่างเป็นทางการก็เดือนมกราคม หลังจากนี้บริษัทจะไม่เพิ่มจำนวนชั้นของแผนกประพันธ์เพลงอีก รวมกับตำแหน่งของอาจารย์เซี่ยนอวี๋แล้ว ต่อไปแผนกประพันธ์เพลงจะมีแค่ชั้นเก้าถึงชั้นสิบห้า แต่ด้านจำนวนคนจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงมาก ส่วนชั้นที่เหนือขึ้นไปนั้นเป็นสตูดิโออัดเสียงกับพื้นที่อื่นๆ เดี๋ยวตัวแทนหลินไปทำความคุ้นเคยสักหน่อยก็ได้ค่ะ”

“งั้นหัวหน้าโจว…”

หลินเยวียนเอ่ยปากถามเพิ่มขึ้นอีกประโยคหนึ่ง

หานซิ่วผุดพรายรอยยิ้มอีกครั้ง “อาจารย์เซี่ยนอวี๋ยังเป็นห่วงหัวหน้าเก่าอยู่ใช่มั้ยคะ ต่อไปหัวหน้าโจวก็จะดูแลทุกชั้น แต่ตอนนี้ภาระของเขาหนักกว่าเดิมแล้ว เพราะบริษัทเตรียมจะจัดตั้งแผนกภาพยนตร์ที่มีสเกลใกล้เคียงกับแผนกดนตรี หัวหน้าโจวจะรับผิดชอบงานบางส่วน ตอนนี้เขาได้กลายเป็นบุคลากรระกับสูงที่มีอำนาจตัดสินใจของบริษัทแล้ว”

หลินเยวียนเข้าใจแล้ว

บริษัทอดไม่ได้ที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมในอุตสาหกรรมภาพยนตร์อย่างที่คิดจริงๆ อันที่จริงก่อนหน้านี้สตาร์ไลท์เองก็มีแผนกภาพยนตร์ แต่ไม่ได้รับความสำคัญอย่างเห็นได้ชัด สรุปแล้วบริษัทนี้ทำงานด้านดนตรีเป็นหลัก ทว่าในตอนนี้ยามต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงของตลาด บริษัทก็จำต้องเปลี่ยนแปลงตาม

“หลังจากนี้ก็คาดเดาได้ยากแล้ว”

หานซิ่วกล่าวอย่างสะท้อนใจ “แต่แผนกดนตรียังเป็นหน่วยงานสำคัญมากของบริษัท เพราะอุตสาหกรรมภาพยนตร์มีความเกี่ยวโยงถึงดนตรีประกอบ พอถึงตอนนั้นแต่ละชั้นที่ตัวแทนหลินกับพ่อเพลงแต่ละท่านดูแล จะต้องไปประสานงานกับทางนั้นบ่อยครั้ง ในตอนนั้นบุคลากรสำคัญของบริษัทอย่างผู้กำกับและคนเขียนบทจะไปหาที่แผนกประพันธ์เพลง ทุกคนจะได้คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมใหม่”

หลินเยวียนไม่ได้ตอบ

สิ่งที่เขาคิดในใจคือ ในบรรดาหมวดหมู่หลักที่ระบบให้มา นอกจากวัฒนธรรมและดนตรีแล้ว ภาพยนตร์ก็เป็นหนึ่งในประเภทใหญ่ ดังนั้นหลังจากนี้เขาน่าจะได้เข้าไปมีส่วนร่วมในด้านภาพยนตร์ และไม่ได้จำกัดอยู่แค่การผลิตเพลงประกอบภาพยนตร์เท่านั้น เพียงแต่ตอนนี้ระบบกำลังอัปเกรด ดังนั้นจึงไม่สามารถติดต่อได้ชั่วคราว บางทีตนอาจสั่งผลิตบทละครอะไรทำนองนี้ได้ด้วยล่ะมั้ง?

ส่วนการออกจากสตาร์ไลท์…

ที่จริงแล้วก่อนหน้านี้เจี่ยนอี้ก็เคยปรารภกับหลินเยวียนถึงความเป็นไปได้นี้แล้ว หากใช้คำพูดของเจี่ยนอี้ก็คือบริษัทของฉีโจวจะต้องยินดีทุ่มเงินก้อนโตจ่ายเพื่อดึงตัวบุคลากร ทว่าหลินเยวียนมีนิสัยไม่ชอบเรื่องวุ่นวาย นี่เป็นสิ่งที่เขามองออกมาตลอดตั้งแต่ที่ร่วมงานเขียนนิยายเรื่องยาวกับคลังหนังสือซิลเวอร์บลู ในเมื่อร่วมงานกับสังกัดเดิมได้ราบรื่นดีอยู่แล้ว ตนจะกระเสือกกระสนละทิ้งที่นี่แล้วไปอยู่ไกลทำไมล่ะ เขาไม่คิดว่าข้อเสนอที่บริษัทจากฉีโจวยื่นให้เขาจำเป็นจะต้องดีกว่าของสตาร์ไลท์

หลังจากการประชุมจบลง

ผู้คนก็ต่างแยกย้ายกันไป

คนจากบริษัทย่อยต่างก็มีที่ไปของตัวเอง หลินเยวียนก็ตรงไปยังแผนกประพันธ์เพลงเพื่อทักทายกับเพื่อนร่วมงานเก่า หลังจากนี้พนักงานแผนกประพันธ์เพลงก็จะถูกปรับเปลี่ยนใหม่ให้วุ่นเชียวละ เขาไม่รู้ว่าในอนาคตจะได้ทำงานด้วยกันอีกหรือเปล่า

“พ่อเพลงตัวน้อยของพวกเรามาแล้ว!”

แทบจะทันทีที่หลินเยวียนเข้าไป ก็ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น บรรดาเพื่อนร่วมงานเก่าต่างก็คิดถึงหลินเยวียน โดยเฉพาะรุ่นพี่อู๋หย่งซึ่งก่อนหน้านี้รับผิดชอบดูแลช่วยเหลือให้หลินเยวียนคุ้นเคยกับการทำงานก็ยิ้มแย้มซะยิ่งกว่าใคร

“สวัสดีครับทุกคน”

หลินเยวียนเผยรอยยิ้มบนใบหน้าเฉกเช่นที่สังคมคาดหวังให้เขาทำ เขานับว่าผูกพันกับเพื่อนร่วมงานเหล่านี้พอสมควร อาจเป็นเพราะหวนระลึกถึงความหลังด้วย เขาจงใจนั่งลงบนที่ทำงานประจำเดิม ซึมซับบรรยากาศของสถานที่แห่งนี้สักหน่อย พลางเอ่ยถามอู๋หย่งประโยคหนึ่งว่า “พ่อเพลงตัวน้อยคืออะไรเหรอครับ”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน