Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน นิยาย บท 625

ที่จริงแล้ว ถ้าคิดจะสร้างเกมอย่างจริงจัง หลินเยวียนต้องจัดทำแผนขั้นตอน รวมไปถึงการเรนเดอร์ หลังจากนั้นจึงจึงวิเคราะห์และออกแบบโดยละเอียด แต่เห็นได้ชัดว่าหลินเยวียนไม่ได้ทำเรื่องวุ่นวายเช่นนั้น

เขามีแนวคิด

แต่ไม่ได้เป็นมืออาชีพ

หลินเยวียนเพียงแค่ให้เนื้อหาและโครงสร้างโดยอ้างอิงจากระบบ โดยพื้นฐานแล้วเขานึกถึงจุดใดก็บอกเล่าไปถึงจุดนั้น ต้องขอบคุณที่ความสามารถในการเข้าใจของเผยเชียน เขาฟังสิ่งที่หลินเยวียนพูดรอบหนึ่ง และกระจ่างในทันที

ผ่านไปสองชั่วโมง

ซุนเย่าหั่วและคนอื่นๆ ออกไป

หลินเยวียนหยิบเชอร์รี่ซึ่งล้างสะอาดแล้วขึ้นมากัดคำหนึ่ง ทันใดนั้นข้างหูก็มีเสียงของระบบดังขึ้น “ขอแสดงความยินดีกับโฮสต์สำหรับการเปิดสาขาเกมในอนาคต ตั้งแต่นี้เกมจะกลายเป็นหนึ่งในแหล่งที่มาของค่าความโด่งดัง!”

หลินเยวียนตกตะลึง

สาขาเกม?

เขาและเผยเชียนแลกเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับพืชปะทะซอมบี้ เพียงเพราะเขาอยากเล่นเกมใช้ไหวพริบที่คุ้นเคยจากโลกเดิมเท่านั้นเอง ไม่ได้คิดจะเก็บเกี่ยวความโด่งดังจากเรื่องนี้ แต่ระบบกลับบอกเขาว่า เกมก็เป็นสาขาหนึ่งเช่นกัน?

ดนตรี ภาพยนตร์

จิตรกรรม วรรณกรรม

หลินเยวียนคิดว่าระบบมีเพียงสี่สาขา ไม่น่าแปลกใจที่เขาสามารถปรับแต่งเกมนี้กับระบบได้ นั่นหมายความว่าในอนาคตตนไม่เพียงสร้างพืชปะทะซอมบี้ออกมาได้ แต่ยังทำเกมอื่นออกมาได้ด้วยใช่ไหม?

เหมือนว่าจะใช่

อันที่จริงเกมเป็นสาขาความบันเทิงที่สำคัญ เพราะเกมเกี่ยวโยงถึงหลากหลายสาขา ทั้งดนตรี จิตรกรรม รวมไปถึงอนิเมชันและการเขียนบทล้วนเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ โดยเฉพาะเกมสเกลใหญ่ซึ่งต้องพึ่งพาสิ่งเหล่านี้

ยังไม่ต้องพูดถึงเกมสเกลใหญ่

ยกตัวอย่างที่ง่ายที่สุดอย่างพืชปะทะซอมบี้ พื้นหลังของเกมนี้ดนตรีบรรเลง หากหลินเยวียนต้องการสร้างเกมนี้ เขาต้องเลือกดนตรีพื้นหลังดั้งเดิม นี่ไม่ใช่หนึ่งในสาขาที่หลินเยวียนถนัดที่สุดหรอกหรือ?

นี่คือสาขาใหญ่เชียวนะ!

สิ่งที่เกี่ยวข้องนั้นมีมากมายเหลือเกิน!

คำว่าเกม เกือบจะครอบคลุมถึงเนื้อหาของสาขาอื่นๆ ที่หลากหลาย “ดูเหมือนว่าหลังจากนี้เนื้อหางานของฉันจะเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งรายการ ถ้าไม่มีรุ่นพี่เย่าหั่ว ฉันคงยังไม่รู้ว่าระบบอาจซ่อนสาขาเกมไม่ยอมเปิดใช้งาน”

เมื่อก่อนทำเพียงเพื่อเล่นสนุก

ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว

หลินเยวียนละทิ้งความคิดด้านความสนุกของเขาชั่วคราว เมื่อไตร่ตรองถึงความพยายามของรุ่นพี่เย่าหั่วในการบุกเบิกสาขาเกมในระบบ หลินเยวียนจึงวางแผนว่าในอนาคตจะร่วมมือกับรุ่นพี่เย่าหั่วในการผลิตเกมและนำเข้าเกมคลาสสิกจากโลก

“ต้องเรียนแล้ว”

ในเมื่อตัดสินใจว่าหลังจากนี้จะผลิตเกม หลินเยวียนไม่สามารถเพิกเฉยต่ออุตสาหกรรมเกมได้ เขาจึงขอให้กู้ตงออกไปซื้อตำราเกี่ยวกับเกมมาให้ตน

ประสิทธิภาพในการอ่านหนังสือของเขามีสูงมาก

มีแคปซูลความทรงจำที่ระบบมอบให้ เขาสามารถจดจำหนังสือทั้งหมดที่เขาอ่านได้ ในตอนนั้นหลินเยวียนพัฒนาอย่างก้าวกระโดดจากการกินแคปซูลความทรงจำและตะบี้ตะบันอ่านหนังสือ จากที่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับภาพยนตร์แม้แต่น้อย จนกลายเป็นกึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านภาพยนตร์

ในครั้งนี้ก็เช่นกัน

กู้ตงซื้อหนังสือกลับมาสิบกว่าเล่ม ทั้งหมดล้วนเป็นหนังสือที่เกี่ยวกับเกม หลินเยวียนนั่งอ่านอย่างไม่รีบร้อนในห้องทำงาน ซึมซับและปรับปรุงความรู้ไปเรื่อยๆ และเกิดความเข้าใจเกี่ยวกับอุตสาหกรรมเกมในระดับหนึ่ง

“ความรู้เกี่ยวกับเกมมีเยอะจริงๆ ”

ขณะที่อ่านหนังสือเหล่านี้ หลินเยวียนรู้สึกสะท้อนใจเหลือเกิน สิ่งที่เขาเห็นจากมุมมองของผู้เล่นนั้นเรียบง่ายเกินไป เมื่อมายืนอยู่ในมุมของผู้พัฒนาเกม จึงได้รู้ว่าในนั้นเต็มไปด้วยเส้นทางอันเคี้ยวคด

……

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน