บุบผาร้อยเสน่ห์ นิยาย บท 517

บทที่ 517 ฉากตบในงานเลี้ยงของวังหลวง

เข้ามาถึงยังพระราชวังหลวงเพื่อร่วมงานสังสรรค์ เหล่าข้าบริวารต่างก็พากันคุกเข่าอยู่บนพื้น บรรดาเสนาอำมาตย์ต่างก็รู้ธรรมเนียมเป็นอย่างดี

กู้อ้าวเวยค่อย ๆ ทรุดกายนั่งลง แต่สีหน้าท่าทางกลับดูเปลี่ยนไปตากเดิมมาก ม้าศึกหนึ่งพันตัวที่ว่านี้มีจำนวนมากพอที่จะทำให้ฮ่องเต้แห่งแคว้นเจียงเยี่ยนเชื่อใจในสถานะของนาง ตรัสชมนางถึงเรื่องที่เอาข้าบริวารจำนวนหนึ่งพันมามอบให้เป็นของกำนัล

เสียงบรรเลงของวงดนตรีที่ทำขึ้นจากไม้ไผ่ เสียงดีดของสายที่ทำขึ้นจากเหล็กกระทบชนกันราวกับเสียงที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติ

ซ่านจินจื๋อนั่งอยู่ด้านข้างของกู้อ้าวเวย ไม่ได้มีคำวิจารณ์ใด ๆ ต่อการที่แคว้นเจียงเยี่ยนนี้ได้เอากระเบื้องทองมาปูที่พื้น อีกทั้งรู้สึกไม่ถูกปากรสชาติอาหารของที่นี่ที่มีรสหวานมัน โดยเฉพาะเบื้องหลังของเสียงโซ่นั้นเป็นแค่สิ่งที่สร้างความรำคาญให้กับคนอื่น

“ในเมื่อองค์หญิงเสด็จมาถึงแล้ว ไม่เช่นนั้นก็ลองรับชมการแสดงระบำจากแคว้นเจียงเยี่ยนของข้าดูหน่อยปะไร”ฮ่องเต้ทรงพระสรวลขึ้นด้วยเสียงอันดังก้อง แกว่งแก้วสุราที่ทำขึ้นจากทองคำที่อยู่ในมือขึ้นเบา ๆ

กู้อ้าวเวยพยักหน้าลงเบา ๆ ด้วยสีหน้าที่ยังคงเหมือนเดิม พลางจ้องมองสตรีจำนวนมากที่ร่างกายดูอ้อนแอ้นนุ่มนิ่มค่อย ๆ ย่างเท้าเดินขึ้นไปอยู่ตรงเวทีเบื้องหน้า ใบหน้าล้วนโฉมสะคราญ รูปร่างกลมกลึงสมส่วน แต่การแสดงระบำที่ว่านั้นได้เรียกให้เปลือกตาของกู้อ้าวเวยกระตุกขึ้นไม่หยุด

เสื้อผ้าอาภรณ์ที่อยู่บนเรือนร่างมีน้อยชิ้น ท่วงท่าพวกนั้นล้วนแล้วแต่เป็นท่าทางที่ถูกจำกัดสำหรับสตรีที่อยู่ในพระราชวัง เป็นภาพที่ดูแล้วทำให้หญิงสาวต่างต้องพากันหน้าแดงหูแดงด้วยความอับอาย

สายตาของเหล่าบรรดาข้าราชสำนักชั้นผู้ใหญ่พุ่งจับจ้องไปยังจุดเดียว แม้กระทั่งนัยน์ตาของกู้เฉิงเองก็ยังทอประกายความพึงพอใจออกมาให้เห็นเป็นจำนวนไม่น้อย

เดิมทีกู้อ้าวเวยคิดอยากหาข้ออ้างที่จะก้มหน้าลง แต่กลับได้ยินข้าราชสำนักสกุลอ้ายเอ่ยปากพูดขึ้น “เมื่อก่อนได้ยินมาว่าองค์หญิงทรงยืนหยัดเพื่อสตรีคนหนึ่ง ยังพูดกันไปอีกว่าหญิงคนนั้นเนี่ยเป็นหญิงคนรักของตนเอง ”

คนที่จะมาสืบหาก็ได้มาถึงแล้ว

กู้อ้าวเวยสีหน้ายังคงไว้เช่นเดิม จำใจทำเป็นว่ารู้สึกชื่นชมการแสดงเริงระบำใยครั้งนี้ มุมปากยกขึ้นเหยียดยิ้ม “ข้าแต่ไหนมาก็หาได้โมโหกับเรื่องนี้ไม่ แต่ว่าถ้าหากใต้เท้าอ้ายพูดขึ้น ก็คือกำลังสงสัยความสนใจของข้าที่มีต่อจูเอ๋อรึ?”

“ใต้ฝ่าพระบาทและหญิงคนนั้นล้วนแต่เป็นสตรี……”

“นางเคยเอาแต่ดูแลข้ามาตลอดทั้งวันทั้งคืน ยิ่งเป็นกว่านั้นเป็นคนที่สนิทกับข้าที่สุด ต่อให้นับว่าไม่ได้มีใจรักใคร่ต่อกันก็ยังนับว่าเป็นคนสำคัญของข้า ในบัดนี้นางต้องตายเพราะถูกเหยียบย่ำถูกดูแคลน เช่นนั้นข้ายิ่งจะต้องเข้าร่วมมือกับแคว้นเจียงเยี่ยนไปกันใหญ่ คิดไม่ถึงเลยว่าคนแคว้นเจียงเยี่ยนเฉกเช่นเดียวกับพวกท่านจะไม่ได้รู้สึกผิดต่อจูเอ๋อของข้าเลยแม้แต่น้อย บัดนี้ยังมาสงสัยในความรู้สึกของข้าที่มีต่อจูเอ๋ออีก?”

กู้อ้าวเวยวางแก้วในมือกระแทกลงกับพื้นโต๊ะ ความสง่างามและสงบนิ่งพลันก็ได้หากไปหลายส่วน หลงเหลือไว้แค่เพียงท่าทางที่ดูแข็งกร้าวบีบคั้นผู้คนขึ้น “ข้าไม่เหมือนกับพวกท่านที่คิดจะหาคนที่เหมือนกับจูเอ๋อกลับมา แต่ท่านกลับใช้จังหวะที่สถานการณ์ต่าง ๆ พากันสงบลงมีประสงค์หมายกระทบบาดแผลความเจ็บปวดของข้า ช่างโง่เขลาเบาปัญญาเหมือนหมูตัวหนึ่ง เพียงแค่เรียกเอาสาวงามพวกนี้มามันยังห่างชั้นอยู่ยิ่งนัก”

ข้าราชสำนักสกุลอ้ายเพียงเจอท่าทางของกู้อ้าวเวยเข้าไปก็ตกใจจนพูดอะไรไม่ออก

มีองค์หญิงที่ไหนกันที่อยู่ต่างบ้านต่างเมืองยังมีท่าทีดุดันเกรี้ยวกราดได้ขนาดนี้

แต่พระทัยของฮ่องเต้ยังมีความเกรงกลัวต่อตระกูลอ้าย บัดนี้ได้ไปกระตุ้นยุแหย่องค์หญิงแคว้นเอ่อตาน ก็ยิ่งไม่สบายใจ เพียงแค่โบกมือไปมา “องค์หญิงหาต้องใส่พระทัย เรื่องนี้เป็นเรื่องที่แคว้นเจียงเยี่ยนของข้าไม่ควรทำ ไม่เช่นนั้นแล้ว……”

“ไม่ต้อง ในเมื่อไม่ได้ตั้งใจที่จะขอโทษอย่างจริงใจ ต่อให้ส่งอะไรต่อมิอะไรมาให้มันก็ไร้ประโยชน์” กู้อ้าวเวยพูดขัดจังหวะรับสั่งของฮ่องเต้ ใบหน้าปรากฏให้เห็นถึงความเดือดดาล “ถ้าหากว่าพระองค์ทรงคิดอยากจะทำอะไร ขอเพียงแค่ว่าในวันหน้าทั้งแคว้นเจียงเยี่ยนและแคว้นเอ่อตานได้สานสัมพันธ์ทางการทูต อย่าให้เกิดเรื่องนี้ขึ้นอีก”

เมื่อครู่ยังคงแสดงท่าทีดูกราดเกรี้ยว แต่บัดนี้กลับแสดงท่าทางมีเหตุมีผล

ทำให้คนถึงกับพูดบ่นอะไรออกมาไม่ออก เหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ต่างก็พากันก้มหน้าก้มตา ไม่กล้ายั่วแหย่คนผู้นี้อย่างง่าย ๆ ขึ้นอีก

เมื่อจัดการปัญหาทางนี้เรียบร้อยแล้ว กู้เฉิงที่อยู่อีกฟากก็ได้เอ่ยปากพูดขึ้นต่อไปว่า “แม่นางยู่จูในตอนนั้นจากไปพร้อมกับองค์หญิง เจี่ยงเยี่ยงต้องเคว้งคว้างโดนคนเหยียบย่ำ ท่านเสนาได้ส่งให้คนไปจัดการแล้ว”

“ขอบใจท่านใต้เท้าแล้ว”สีหน้าของกู้อ้าวเวยดูอ่อนโยนขึ้นเป็นอย่างมาก ยิ่งเรียกเจ้าข้าราชสำนักสกุลอ้ายผู้พูดจาไร้สาระเรื่อยเปื่อย

หญิงสาวต่างก็พากันเดินลงจากเวที บ่าวรับใช้ที่อยู่ข้างกายดูเหมือนว่าจะได้ปลดแอกจากสถานะความเป็นบ่าว ที่ด้านบนข้อมือหลายแห่งมีรอยสีม่วง ๆ ที่เป็นร่องรอยจากการถูกล่ามโซ่ตรวนคุมขังเอาไว้นาน พลางหลุบตาลดลงรินเหล้าให้กับนาง แต่กลับถูกกู้อ้าวเวยจับเอาไว้มั่น กระซิบพูดขึ้นว่า “ข้อมือได้รับบาดเจ็บหรือ?”

หญิงสาวร่างกายสั่นระรัว รีบส่ายหน้าไปมา “บ่าวไม่เจ็บ ทุกอย่างเป็นปกติดีเจ้าค่ะ”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บุบผาร้อยเสน่ห์