ครึ่งชั่วโมงต่อมา เหลยนั่วซานเสนาบดีกรมครัวเรือนก็มาถึง
เมื่อมาถึงห้องสีเจิ้งในตำหนักบูรพา เหลยนั่วซานประสานมือ และกล่าวอย่างไม่เป็นทางการกับหลี่เฉินว่า “กระหม่อมเหลยนั่วซาน เข้าเฝ้าองค์รัชทายาท”
หลี่เฉินมองเหลยนั่วซานด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ และกล่าวว่า “เจ้าขุนนาง พบข้ายังไม่คุกเข่าอีกหรือ?”
เหลยนั่วซานยิ้มเยาะ และพูดอย่างมั่นใจว่า “แน่นอนว่ากระหม่อมเป็นขุนนาง แต่ตามกฎบรรพชนนั้น กระหม่อมคุกเข่าคารวะให้เพียงฮ่องเต้ ฮองเฮา และไทเฮาเท่านั้น สำหรับองค์รัชทายาท แค่ประสานมือคารวะก็พอ”
ปึง
หลี่เฉินกระแทกสาส์นกราบทูลข้อราชการในมือลงโต๊ะเสียงดังปึง “เนื่องจากข้าเป็นผู้ดูแลประเทศ พบข้าเท่ากับพบเสด็จพ่อ ข้าที่อยู่ตรงหน้าเจ้าในตอนนี้ คือตัวแทนของเสด็จพ่อ เจ้าพบแล้วไม่คารวะ นับเป็นอาชญากรรมร้ายแรง!”
ด้วยเสียงปังดังนี้ องครักษ์เสื้อแพรหลายคนจึงรีบเข้ามาในห้องโถงทันที และจ้องมองไปที่เหลยนั่วซานด้วยเจตนาฆ่า ราวกับว่าแค่หลี่เฉินสั่ง พวกเขาก็จะกระโจนใส่เหลยนั่วซานในทันที
เหลยนั่วซานสะดุ้งตกใจ
เขาไม่คาดคิดว่าหลี่เฉินที่เพิ่งดูแลประเทศ จะไม่เล่นไปตามบท
ด้วยวิธีนี้ พวกเขาจะใช้อำนาจของฮ่องเต้โดยตรงเพื่อปราบปรามผู้คน ซึ่งเทียบเท่ากับการล้มล้างกฎเกณฑ์ของราชสำนักโดยสิ้นเชิง
เหลยนั่วซานทั้งตกใจทั้งโมโห ในความคิดของเขา แม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังต้องสร้างสมดุลระหว่างการเมืองกับเสนาบดีเช่นพวกเขาในราชสำนัก องค์รัชทายาทเป็นเพียงผู้ดูแลประเทศเท่านั้น กล้าดีอย่างไรมาท้าทายกฎเกณฑ์?
“องค์รัชทายาท ท่านต้องการสังหารกระหม่อมหรือ?”
เหลยนั่วซานจ้องเขม็งไปที่หลี่เฉิน คิดว่าหลี่เฉินคงไม่กล้าแตะต้องเขา
มิฉะนั้นขุนนางทั้งบุ๋นบู๊จะต้องเคลื่อนไหว ขับไล่องค์รัชทายาท
“องค์รัชทายาทท่านต้องคิดให้รอบคอบ เมื่อทำเช่นนี้แล้ว มันจะทำให้จิตใจของขุนนางทั้งบุ๋นบู๊เย็นชา และจะไม่มีใครกล้าช่วยองค์รัชทายาทจัดการปัญหา”
คำขู่ที่โจ่งแจ้งเช่นนี้ ทำให้หลี่เฉินโกรธจนหัวเราะ
“ลากเสนาบดีที่ไม่เชื่อฟังคนนี้ไปประหารให้ข้า!”
เมื่อหลี่เฉินสั่ง องครักษ์เสื้อแพรจากหน่วยงานบูรพาก็ไม่สนว่าเจ้าเป็นใคร ขุนนางขั้นอะไร ด้วยวิธีล้างสมองมาหลายปีของหน่วยงานบูรพา แนวคิดเรื่องอำนาจสูงสุดของฮ่องเต้ถูกจารึกไว้ในกระดูกของพวกเขา
องครักษ์เสื้อแพรสองสามนายพุ่งเข้ามาดุจหมาป่าดั่งพยัคฆ์ จับเหลยนั่วซานทั้งซ้ายขวาแล้วลากออกไป
ครั้งเหลยนั่วซานตื่นตระหนกมาก
เขาพบว่าความเชื่อมั่นและความมั่นใจของเขาเป็นเหมือนเรื่องตลกไร้สาระต่อหน้าหลี่เฉิน
หลี่เฉินไม่มีความตั้งใจที่จะเล่นตามกฎเกณฑ์ที่พวกเขาตั้งไว้ตั้งแต่ต้น
“องค์รัชทายาท! ท่านโหดเหี้ยมเช่นนี้ จะโน้มน้ามใจขุนนางได้อย่างไร?”
หลี่เฉินพูดอย่างเย็นชา “หัวของนักวิชาการหอเหวินหยวนคนหนึ่ง ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้พวกเจ้ากลัวข้าได้ เช่นนั้นก็เพิ่มหัวของเสนาบดีกรมครัวเรือนไปอีกหนึ่ง แล้วข้าจะดูสิว่า กระดูกแข็งๆ ของนักวิชาการ จะทนดาบคมๆ ของข้าได้หรือไม่”
“เจ้าคิดว่าข้าจะเล่นสิ่งที่เรียกว่าการประนีประนอมและสมดุลกับเจ้าแล้วค่อยๆ ดึงพลังกลับคืนมา? เจ้าคิดมากไปแล้ว หากเป็นจ้าวเสวียนจีก็อาจจะพอมีคุณสมบัติอยู่บ้าง แต่กับเจ้า ที่เป็นเพียงมดปลวกเท่านั้น เสนาบดีกรมครัวเรือนตัวเล็กๆ คนหนึ่ง กลับกล้าเข้ามาร่วมการต่อสู้แย่งชิงอำนาจ ข้าจะให้เจ้าเห็นว่า ผลที่ตามมาจากการเลือกข้างผิดเป็นเช่นไร”
สิ้นประโยคของหลี่เฉิน เขาก็โบกแขนเสื้อ องครักษ์เสื้อแพรก็ลากเหลยนั่วซานที่กรีดร้องและดิ้นรนออกไป โดยไม่พูดไม่จาสักคำ
จากนั้นเสียงกรีดร้องก็หยุดกะทันหันนอกประตูตำหนัก
ผ่านไปสักพัก องครักษ์เสื้อแพรนายหนึ่งก็กลับมาหาหลี่เฉิน โดยกุมศีรษะมนุษย์ที่เปื้อนเลือดไว้ในมือ นั่นเป็นหัวของเหลยนั่วซาน ดวงตาของเขาเบิกกว้างคล้ายตายตาไม่หลับ สีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและเสียใจ
“องค์รัชทายาท ขุนนางทรยศเหลยนั่วซานถูกสำเร็จโทษแล้ว”
“พอดีเลยพระคลังว่างเปล่า ไปค้นบ้านของเหลยนั่วซาน ยึดทรัพย์สินทั้งหมด ผู้ชายที่เป็นผู้ใหญ่ทุกคนในสามชั่วโคตรถูกลดระดับเป็นทาส และส่งไปที่กองทัพ ส่วนผู้หญิงที่อายุมากกว่าสิบสี่ปีจะถูกส่งเข้ากองทัพ ทำหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่หญิง ส่วนคนแก่ คนอ่อนแอและเด็กจะถูกไล่ออกจากเมืองหลวง และจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าเมืองหลวง”
“ถ้าอย่างนั้นก็เรียกสวีฉังชิงผู้ช่วยเสนาบดีฝ่ายซ้ายของกรมครัวเรือนมา ข้าอยากจะรู้ว่าวันนี้ จะต้องตัดหัวกรมครัวเรือนไปกี่คน ถึงจะหาคนที่สามารถจัดการเรื่องราวให้ข้าได้”
อย่างไรก็ตาม เสนาบดีกรมครัวเรือนนั้นเป็นขุนนางขั้นที่ 2 และเป็นผู้นำกรมคนหนึ่ง ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเขาเป็นหนึ่งใ นเสาหลักของจักรวรรดิ
แต่เหลยนั่วซานก็ถูกตัดหัวเช่นนี้
ความวุ่นวายที่เกิดจากเหตุการณ์นี้รุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อคนส่วนใหญ่ได้ยินข่าว พวกเขาคิดว่าพวกเขาฟังผิด หรือคิดว่าองค์รัชทายาทบ้าไปแล้ว
หลี่เฉินไม่สนใจว่าโลกภายนอกจะมีปฏิกิริยาอย่างไร
เขามองไปที่สวีฉังชิงซึ่งรีบมาจากกรมครัวเรือน และกำลังหอบหายใจแฮ่กๆ อยู่
“กระหม่อม ผู้ช่วยเสนาบดีฝ่ายซ้ายกรมครัวเรือน สวีฉังชิง เข้าเฝ้าองค์รัชทายาท องค์รัชทายาททรงพระเจริญพันปี พันๆ ปีๆ ”
เทียบกับเหลยนั่วซานแล้ว สวีฉังชิงรู้กฎเกณฑ์กว่ามาก
หลังจากเข้ามาในห้องโถงแล้ว เขาก็ก้มศีรษะค้อมเอว ลดสองมือลง โดยไม่กล้ามองหน้าหลี่เฉิน เขาคุกเข่าลงโดยตรง และแซ่ซ้องว่าทรงพระเจริญ
ในเวลานี้ สวีฉังชิงรู้เพียงว่าเหลยนั่วซาน หัวหน้าของตนนั้นถูกเรียกไปยังตำหนักบูรพา แต่เรียกไปทำไม แล้วคนอยู่ที่ไหน เขาไม่รู้เลย
อย่างไรก็ตาม ในห้องโถงใหญ่ มีคราบมากมายที่แม้ว่าจะทำความสะอาดแล้ว แต่ก็สามารถเห็นได้ชัดเจนว่าเป็นคราบเลือด ซึ่งทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย
“ไม่ต้องพิธีรีตอง”
หลี่เฉินกล่าวเสียงเรียบ “เหลยนั่วซานตายแล้ว”
“หัวของเขาถูกวางไว้ข้างๆ เจ้าเมื่อสี่ชั่วโมงที่แล้ว หากเจ้าดูให้ดี เจ้าน่าจะมองเห็นร่องรอยที่เหลืออยู่”
พูดถึงตรงนี้ สวีฉังชิงก็ได้ตระหนักว่าได้พูดเรื่องที่ไม่ควรออกไป จึงรีบปิดปากไม่กล้าพูดต่อ
“เจ้าพูดมา ข้าจะไม่ลงโทษเจ้า” หลี่เฉินพูดอย่างใจเย็น
สวีฉังชิงได้ยินดังนั้น จึงกัดฟันพูดอย่างกล้าหาญว่า “ตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป อ๋องศักดินา เช่น หานอ๋อง ชูอ๋อง จ้าวอ๋อง จิ่งหยางอ๋องและคนอื่นๆ ต่างเริ่มไม่จ่ายเงินสมทบประจำปีด้วยเหตุผลหลายประการ ดังนั้นรายได้ส่วนใหญ่จึงหายไป”
หลี่เฉินหรี่ตา
อ๋องศักดินา!
ในระบบต้าฉิน หลังจากอ๋องศักดินาได้ศักดินาแล้ว พวกเขาจะมีอำนาจทางการทหาร อำนาจทางการเมืองและสิทธิในการเก็บภาษีในดินแดน แค่ต้องจ่ายส่วยประจำปีจำนวนหนึ่งให้กับราชสำนักทุกปี ซึ่งเทียบเท่ากับเป็นประเทศซ้อนประเทศอีกที
สองร้อยปีหลังจากสถาปนาราชวงศ์ฉิน อ๋องศักดินาเหล่านี้ก็กลายเป็นมะเร็งก้อนใหญ่
“ข้าเข้าใจแล้ว”
หลี่เฉินไม่ได้พูดอะไรมากเรื่องอ๋องศักดินา
ตอนนี้ฮ่องเต้อาจจะสิ้นพระชนม์เมื่อใดก็ได้ และจักรวรรดิจะตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย หลี่เฉินไม่ต้องพูดเลยว่าอยากจะโค่นล้มอ๋องศักดินาเพียงใด เพราะเหล่าเสด็จลุงพวกนั้นก็กำลังรอให้ฮ่องเต้สิ้นพระชมน์ เพื่อที่จะได้ชูธงโค่นล้มเขา
ดังนั้นการจะมุ่งเป้าไปที่อ๋องศักดินาจะต้องรอจนกว่าเขาจะขึ้นครองบัลลังก์จริงๆ
ส่วนตอนนี้ เริ่มแก้ไขปัญหาภัยพิบัติในประเทศก่อน
“ภัยพิบัติเกิดขึ้นมานานหลายปี ราชสำนักได้จัดสรรเงินจำนวนมากเพื่อบรรเทาภัยพิบัติ ข้ารู้ว่าเจ้าหน้าที่ด้านล่างไม่สามารถจัดการกับพวกเขาโดยไม่เปื้อนน้ำมันได้ จงส่งรายงานชื่อผู้ทุจริต เจ้าหน้าที่ที่เจ้ารู้จัก มอบมันให้หน่วยงานบูรพา แล้วหน่วยงานบูรพาจะจัดการมัน”
หลี่เฉินซึ่งกำลังขาดแคลนเงินให้ความสนใจกับเจ้าหน้าที่ที่ทุจริตเป็นอย่างมาก
ยิ่งประเทศยากจน ก็มีคนสองกลุ่มเทานั้นที่ร่ำรวยขึ้น
กลุ่มแรกคือเจ้าหน้าที่ที่ทุจริต กลุ่มที่สองคือพ่อค้า
“ยังมี ราคาเมล็ดพืช น้ำมัน ข้าว บะหมี่และของใช้จำเป็นอื่นๆ ตอนนี้ราคาเท่าไหร่?”
สวีฉังชิงตกใจจนเนื้อเต้นเมื่อได้ยินคำว่าหน่วยงานบูรพา แต่เมื่อได้ยินคำถามเขาก็รีบตอบโดยสัญชาตญาณ “ราคาพุ่งสูงขึ้น ราคาข้าวขึ้นถึงระดับไร้สาระแล้ว เมื่อต้นปี 5 เหรียญทองแดงก็ซื้อข้าวใหม่คุณภาพดีได้หนึ่งจิน แต่ตอนนี้ แม้แต่ข้าวเก่าที่ขึ้นราก็ยังหาซื้อไม่ได้ ถ้าไม่มีเงิน 30 เหรียญทองแดง”
“ข้าวในตลาดกระจุกตัวอยู่ในมือของพ่อค้าข้าวรายใหญ่ที่ร่วมมือกันดันราคาให้สูงขึ้น เมื่อต้นปีที่ผ่านมา กรมครัวเรือนเคยขอยืมเมล็ดพืชจากพ่อค้าข้าวรายใหญ่ทั้ง 3 รายในเมืองหลวง ในนามของราชสำนัก แต่พวกเขาไม่เพียงไม่ได้รับอะไรเลย แต่พวกเขาไม่เพียงไม่ให้ ยังมาร่องห่มร้องไห้หาว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม น่ารังเกียจจริงๆ!”
“เจ้าไปเรียกรวมตัวพ่อค้าข้าวรายใหญ่ทั้ง 3 รายในเมืองหลวงมา บอกว่าพรุ่งนี้ ข้าจะจัดงานเลี้ยงในตำหนักบูรพา”
หลี่เฉินหัวเราะเสียงเย็นชา “มันไม่ง่ายเลยที่จะทำเงินในช่วงวิกฤตของประเทศ พ่อค้าเหล่านี้มักจะทำเงินได้มากมายในช่วงวิกฤตของประเทศเสมอ คิดจะสร้างความมั่งคั่งบนเรื่องนี้งั้นหรือ ราวกับว่าดาบของราชสำนักจะร่วงใส่คอพวกเขา?”

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์