ยามเฉิน
เสียงดังเหมือนคนกำลังก่อสร้างบางอย่าง รบกวนสามพี่น้องในตอนเช้าของอีกวัน เซี่ยซือซือลืมตาขึ้นด้วยความหงุดหงิดใจ น้องสาวของนางยันตัวลุกขึ้นมานั่งเหมือนกัน ทั้งคู่หันไปมองเจ้าตัวน้อยมุมในสุดของเตียง เซี่ยซือหยางยังคงนอนหลับอุตุอยู่ที่เดิม สองพี่น้องจึงได้ถอนหายใจอย่างโล่งอก
“ข้าจะออกไปดูเองเจ้านอนต่อเถอะ” เซี่ยซือซือกระซิบเสียงเบา น้องสาวของนางก็เอนตัวลงนอนอย่างว่าเชื่อฟัง
พอเดินออกมาอยู่หน้าบ้าน เซี่ยซือซือถึงได้รู้ว่าท่านลุงใหญ่กับท่านลุงรองของนาง กำลังช่วยกันปั้นก้อนดินก่อกำแพงกั้นบ้านอยู่ ทำงานกันเช้าเพียงนี้เชียวหรือ ดูท่าแม่เฒ่าเซี่ยคงอยากตัดขาดพวกนางให้เร็วที่สุด
เซี่ยฉางเงยหน้าขึ้นมาเห็นหลานสาวของตน สายตาพลันเย็นชาขึ้นในทันที “ข้าไม่อยู่แค่วันเดียวเจ้าก็ปีกกล้าขาแข็งขอแยกบ้าน ช่างเป็นเด็กเนรคุณจริง ๆ”
เมื่อวานเซี่ยฉางกับน้องชายเซี่ยชุน พากันเข้าไปเยี่ยมบุตรชายที่สำนักศึกษาในอำเภอ จึงไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ขอแยกบ้าน พอกลับมาถึงช่วงเย็นภรรยาของพวกเขา ต่างก็เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างดุเดือดเลือดพล่าน แน่นอนว่าต้องเน้นคำว่าบ้านสามเป็นพวกเนรคุณอกตัญญูเป็นหลัก
เซี่ยซือซือไม่ได้โต้กลับ ในยามนี้นางเป็นเพียงเด็กอายุสิบสามปี ท่านลุงใหญ่ของนางรูปร่างสูงใหญ่บึกบึน มองด้วยตาเปล่าหากเทียบกับความสูงในยุคปัจจุบัน อาจสูงถึงหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตร ส่วนท่านลุงรองนั้นรูปร่างเพรียวกว่าเล็กน้อย ทว่าความสูงนั้นใกล้เคียงกัน เช่นนี้แล้วคนที่สูงราวหนึ่งร้อยห้าสิบห้าเซนติเมตรแบบนาง ไม่อาจต่อกรกับท่านลุงทั้งสองคนได้ จึงต้องทำตัวสงบเสงี่ยมไว้ก่อน
“ท่านแม่ให้พวกข้ามากั้นกำแพง หลังจากนี้บ้านใหญ่จะไม่เกี่ยวข้องกับบ้านสามอีกต่อไป พวกเจ้าสามพี่น้องจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่เกี่ยวกับพวกเรา แยกบ้านก็เหมือนตัดขาดออกจากกันไปแล้ว ยามลำบากเจ้าอย่าได้หาญกล้า มาขอความช่วยเหลือจากพวกเราเด็ดขาด” คำพูดนี้เซี่ยชุนเป็นคนเอ่ย
มุมปากเซี่ยซือซือกระตุกขึ้นเล็กน้อย บ้านนี้หาคนนิสัยใจคอเหมือนมนุษย์มนาทั่วไปได้ยากจริง ๆ “เชิญท่านลุงทั้งสองทำงานต่อเถอะเจ้าค่ะ ข้ายังต้องหามื้อเช้าให้น้อง ๆ กินก่อน”
“กระทั่งห้องครัวยังไม่มี มีหน้ามาบอกว่าจะทำมื้อเช้า ใกล้อดตายแล้วยังไม่รู้ตัวอีก” เซี่ยฉางตะโกนด่าตามหลังไป
“รีบก่อให้เสร็จเถอะพี่ใหญ่ ท่านแม่เลือกตัดขาดจากคนบ้านสามแล้ว ท่านกับข้าก็ไม่ต้องไปสนใจเด็กพวกนี้หรอก”
“เจ้าสามกับเมียไม่น่าชิงตายไปเช่นนี้เลย เด็กพวกนี้เลยไร้คนสั่งสอน ถึงได้เนรคุณท่านย่าของตัวเองเช่นนี้” แม้ปากของเซี่ยฉางจะพูดแบบนี้ ทว่าในใจนั้นกลับยินดีเสียด้วยซ้ำ การที่น้องสามกับภรรยาตายจากไปนั้น ทำให้ส่วนแบ่งในอนาคตของตนกับลูก ๆ ได้เพิ่มมากขึ้น
ราวหนึ่งชั่วยาม กำแพงบ้านก็เสร็จเรียบร้อย ท่านลุงทั้งสองเงียบเก็บของกลับบ้านตนเองไปแล้ว เซี่ยซือซือถึงได้วางใจ นำมันฝรั่งเข้าไปทำโจ๊กในมิติพิเศษของตัวเอง นางนำธัญพืชหยาบต้มผสมกับมันฝรั่ง ให้เป็นโจ๊กเนื้อข้น ๆ สำหรับมื้อเช้า แอบหยดน้ำพุวิเศษลงไปด้วยเล็กน้อย หนนี้นางหยิบเฉ่าเหมยออกไปด้วยสองกำมือ
“น้องเล็กล้างหน้าบ้วนปากหรือยัง”
“อื้ม”
“มากินข้าวเช้าได้แล้ว”
“ขอรับท่านพี่” เซี่ยซือหยางรีบลากโต๊ะนั่งกินข้าวออกมาจากมุมบ้าน เข้าประจำตำแหน่งที่เคยนั่งกินข้าวกับครอบครัว
ทันทีที่พี่สาวของเขาวางถ้วยโจ๊กถ้วน ๆ ลงบนโต๊ะ ตามด้วยผลเฉ่าเหมยไว้ด้านข้าง เจ้าตัวน้อยก็เอียงหน้ามองพร้อมจ้องตาแป๋ว “เจ้านี่คืออะไรหรือท่านพี่”
“หืม เฉ่าเหมยไงเจ้าไม่รู้จักหรือ”
“ไม่ขอรับ ไม่เคยเห็น”
ไม่เคยเห็น ! เซี่ยซือซือมึนงงหนักกว่าเดิม พยายามย้อนความคิดของเจ้าของร่างเดิม ปรากฏว่าไม่รู้จักผลไม้ชนิดนี้จริง ๆ ตายละ ! แล้วนางจะหาข้ออ้างไหนมาบอกน้องชายดี แต่ยังไม่ทันจะได้เอ่ยอันใดออกไป น้องชายของนางก็มีคำถามใหม่ขึ้นมาอีก
“ท่านพี่ไปเอาโจ๊กนี่มาจากไหนหรือขอรับ”
“คือว่า เอ่อ ข้าเอาธัญพืชหยาบกับมันฝรั่งไปบ้านท่านปู่ใหญ่ ขอห้องครัวที่นั่นต้มโจ๊ก ท่านย่าใหญ่สงสารพวกเราเลยให้ถ้วยกับช้อนตะเกียบมาสามชุด บอกว่าไม่ต้องรีบคืน เอาไว้ให้พวกเราซื้อใหม่ก่อนค่อยเอาไปคืนท่าน ส่วนเฉ่าเหมยนั่นเป็นผลไม้ป่ากินได้ ท่านปู่ใหญ่มอบให้พวกเรามา” ยามนี้คงต้องอาศัยชื่อของท่านปู่ใหญ่มาช่วยก่อน
“ท่านปู่ใหญ่ใจดี โตขึ้นข้าจะต้องตอบแทนบุญคุณท่านปู่ใหญ่แน่” เด็กน้อยรู้สึกซาบซึ้งในความเมตตาของคนบ้านท่านปู่ใหญ่ ซึ่งแตกต่างจากท่านย่าแท้ ๆ ของตนเอง ราวฟ้ากับเหวกันเลยทีเดียว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติมาเป็นภรรยาตัวน้อยของสามีพิการ
รออัพเดตค่ะ...
รอ รอ รอ เงียบหายไปเลยค่ะ ยังรออยู่นะคะ...
เรื่องนี้ก็สนุกนะคะ...
รอติดตามอยู่นะคะ...