เข้าสู่ระบบผ่าน

แต่งกับขุนนาง นิยาย บท 11

ความเย็นราวกับน้ำพุบนภูเขานั้นซึมลึกเข้าสู่หัวใจของซูชิงลั่ว

นางหดมือกลับมาอย่างรวดเร็วราวกลับถูกน้ำร้อนลวก จนข้าวต้มถ้วยนั้นเกือบจะหกคว่ำ โชคดีที่ลู่เหิงจือจับไว้ได้อย่างมั่นคง

ใบหน้าของซูชิงลั่วแดงขึ้นในทันที

ท่าทางของคนทั้งสองเมื่อครู่นี้ ในสายตาคนอื่นเกรงว่าจะดูค่อนข้างสนิทสนมกันไปสักหน่อย

ลู่เหิงจือยื่นถ้วยให้นางอีกครั้ง เอ่ยเสียงเบาว่า "ระวังนะ มันร้อนอยู่"

เมื่ออธิบายเช่นนี้แล้ว ทำให้การหดมือกลับของเธอเมื่อครู่นี้ดูสมเหตุสมผลมากขึ้น

ซูชิงลั่วรับถ้วยลายครามมา "ขอบคุณท่านสาม..."

หลังจากพูดจบถึงเพิ่งรู้ว่าตัวเองเรียกเขาว่าท่านสามอีกแล้ว ทั้งๆ ที่ตอนเช้าพึ่งสัญญาว่าจะจำว่าต้องเรียกเขาพี่สาม แต่ตอนนี้กลับลืม ไม่รู้ว่าเขาจะโกรธหรือไม่

นางค่อยๆ เงยหน้าขึ้น แต่กลับเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าของลู่เหิงจือมีรอยยิ้มวาบผ่านไป

อะไรกันนางเรียกเขาผิดไม่ใช่เหรอ? เขายังยิ้มอีกเหรอ?

ถึงแม้ซูชิงลั่วจะไม่เข้าใจ แต่ตอนนี้ก็ไม่มีเวลามาคิดมากเรื่องเขา นางหันกลับไปและค่อยๆ ป้อนข้าวต้มให้ท่านยายทีละนิดด้วยความอดทน

ท่านยายกินข้าวต้มไปได้ครึ่งถ้วยก็ต้องการน้ำล้างปาก ซูชิงลั่วหันไป ลู่เหิงจือก็ยื่นถ้วยน้ำชามาให้พอดี

ซูชิงลั่วเริ่มชินกับการที่เขายื่นของให้ จึงรับถ้วยมา ป้อนน้ำให้ท่านยาย รอจนหญิงชราบ้วนปากเสร็จแล้วจึงรับถ้วยคืน แล้วยื่นต่อให้ลู่เหิงจือ โดยไม่กล้าเงยหน้ามองเขา

เมื่อหญิงชรากินข้าวต้มเสร็จแล้วก็มีเรี่ยวแรงขึ้นเล็กน้อย จึงเริ่มพูดคุยอีกครั้ง

เฉียนเหวินหลิงกล่าวว่า "ครั้งนี้ต้องขอบคุณเหิงจือที่เชิญหมอหลวงซ่งซึ่งเป็นถึงหัวหน้าสำนักหมอหลวงมาแล้วยังเฝ้าดูแลท่านแม่ตลอดทั้งวันทั้งคืน ช่างมีความกตัญญูมาก"

เมื่อหญิงชราได้ยินก็ยิ่งรู้สึกประหลาดใจ จึงหันไปมองลู่เหิงจือ

ลู่เหิงจือพูดเสียงเรียบ "ท่านแม่ชมเกินไปแล้ว การเคารพท่านย่าเป็นสิ่งที่ลูกหลานควรทำอยู่แล้ว"

แม้จะไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ลู่เหิงจือถึงทำเช่นนี้ แต่หญิงชราก็รับรู้ถึงน้ำใจของเขาและกล่าวว่า "เด็กดี ขอบใจมาก เจ้าเองก็เหนื่อยมากแล้ว พรุ่งนี้ยังต้องเข้าราชการเช้าอีก รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ"

ซูชิงลั่วพึ่งนึกได้ว่าลู่เหิงจือต้องเข้าราชการเช้า พอนับดูก็เหลือเวลานอนอีกเพียงไม่กี่ชั่วโมงแล้ว

นางหันไปมองเขาอย่างไม่รู้ตั...เหตุใดเขาถึงได้เสียเวลาอยู่ที่นี่นานขนาดนี้?

เสียงอ่อนโยนของเฉียนเหวินหลิงดังขึ้นข้างหู "ชิงลั่ว ไปส่งเหิงจือแทนข้าหน่อย ข้าจะอยู่คุยกับท่านยายเจ้า"

ซูชิงลั่วพยักหน้าแล้วลุกขึ้น ก้มหน้าเดินตามลู่เหิงจือออกไปข้างนอก

ในห้องค่อยๆ มืดลง เยว่เออร์ลุกขึ้นไปจุดตะเกียง แสงไฟทำให้เงาสีดำของเขาลากยาวมากขึ้น

เสียงก้าวเดินของเขาเบาเหลือเกิน ขณะเดินชายเสื้อก็พลิ้วไหว ลวดลายเมฆมงคลที่ปักด้วยด้ายสีทองดูเหมือนจะเปล่งประกายเล็กน้อย สวยงามมาก

เขาแหวกม่านประตูออก เดินออกไป แต่ก็ไม่ได้ปล่อยมันลง ราวกับกำลังรอให้นางเดินออกมา

นางเม้มริมฝีปากแล้วเดินตามออกไปแบบนั้น

ในใจกลับรู้สึกประหม่าอย่างมาก เพราะคิดว่าต้องเดินผ่านใต้วงแขนของเขาไป แค่คิดก็หน้าแดงแล้ว

ข้างนอกท้องฟ้าก็มืดแล้ว

ซ่งเหวินถือโคมไฟแก้วรออยู่ที่หน้าประตู

ลู่เหิงจือดูเหมือนจะไม่ชินที่ต้องให้คนอื่นถือโคมไฟแทน เขาจึงยื่นมือไปรับโคมไฟมา

โคมไฟนั้นวิจิตรโปร่งใส มีสีเขียวอ่อน ดูคล้ายกับอันที่เคยให้นางยืมก่อนหน้านี้มาก

ลู่เหิงจือจับปลายด้ามโคมไฟ ตรงที่จับดูเหมือนเป็นจุดที่นางก็เคยสัมผัสมาก่อน

ซูชิงลั่วรู้สึกว่าคืนนี้ใบหน้าของนางคงแดงก่ำแล้ว โชคดีที่สามารถอาศัยความมืดปกปิดไว้ได้ นางโค้งตัวทำความเคารพ "พี่สาม เดินทางปลอดภัยนะเจ้าคะ"

ไม่กล้าเงยหน้ามองสีหน้าของชายหนุ่ม จึงได้แต่ก้มหน้า แต่สายตากลับจับจ้องไปยังมือของเขาที่ถือด้ามโคมไฟอยู่อย่างไม่อาจควบคุม

มือนั้นสวยมาก กระดูกเรียงตัวชัดเจน เมื่อประกอบเข้าด้วยกันก็ดูน่ามองเหลือเกิน

และก็ได้เห็นแหวนหยกสีเขียววงนั้นที่เขาสวมอยู่ที่นิ้วโป้งอีกครั้ง เพียงแต่แสงไฟค่อนข้างสลัว จึงไม่แน่ใจว่าเป็นวงเดียวกับที่นางเคยมอบให้หรือไม่

ขณะที่กำลังเหม่อลอย เสียงแผ่วเบาของเขาก็ดังมาจากด้านบน "ยังกลัวข้าอีกหรือ?"

ซูชิงลั่วรีบตอบ "เปล่าเจ้าค่ะ"

ลู่เหิงจือกล่าวช้าๆ "ถ้าเช่นนั้นเหตุใดจึงไม่กล้าเงยหน้า?"

นางลดเสียงลงเล็กน้อย "อาจเป็นเพราะท่านป่วยตรงกับวันเกิดของเขา เขาอาจกลัว...ถูกตำหนิ?"

ข้อสันนิษฐานนี้ฟังขึ้น เพราะราชวงศ์นี้ให้ความสำคัญกับความกตัญญูอย่างมาก

แต่ในใจนางกลับมีความคิดที่นางเองก็ไม่กล้าเชื่อ คิดว่าที่ลู่เหิงจือใส่ใจท่านยายมากเช่นนี้อาจมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับนางก็ได้

หญิงชราครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แม้จะกลัวถูกตำหนิ แต่การเฝ้าไข้เพียงคืนเดียวก็คงพอแล้ว ไฉนต้องเฝ้าถึงหนึ่งวันหนึ่งคืน?

แต่ในตอนนั้นก็คิดคำอธิบายที่ดีกว่านี้ไม่ออกแล้ว จึงตอบว่า "ก็อาจจะใช่"

สักพัก หญิงชรามองไปที่ซูชิงลั่วอีกครั้ง "ชิงลั่ว ลู่เหิงจือนั้นเป็นคนเข้าถึงยากและโหดเหี้ยม ขณะที่เขาอยู่ในจวน เจ้าต้องระวังตัวให้มาก อย่าได้ล่วงเกินเขาล่ะ"

ซูชิงลั่วอยากถามให้รู้ชัดว่าทำไมทุกคนถึงบอกว่าลู่เหิงจือโหดเหี้ยม แต่ตอนนี้ท่านยายยังไม่ฟื้นตัวดี เวลานี้คงไม่เหมาะ จึงตอบรับอย่างเชื่อฟัง

หญิงชราเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ ขมวดคิ้วเล็กน้อย "เมื่อครู่ทำไมท่านน้าใหญ่เจ้าถึงให้เจ้าไปส่งลู่เหิงจือ?"

ซูชิงลั่วตกใจ ขนาดนางยังไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลย จึงพูดไม่ออกไปครู่หนึ่ง

เยว่เออร์ยิ้มแล้วพูดว่า "คุณท่าน ในห้องตอนนั้นมีเพียงคุณหนูอยู่ ถ้าไม่ใช้คุณหนูจะใช้ใครเจ้าคะ"

หญิงชราจึงส่ายหน้ายิ้มๆ "ใช่แล้ว ข้าคงแก่ชราเลอะเลือนแล้ว"

ซูชิงลั่วปรนนิบัติท่านยายดื่มยา ส่วนตนเองก็ทานอาหาร จากนั้นก็นอนพักบนเก้าอี้หวายข้างๆ ส่วนเยว่เออร์ก็นอนพักที่ห้องด้านนอก

คาดว่าในยาอาจมีส่วนผสมของสมุนไพรที่ช่วยทำให้ผ่อนคลาย ท่านยายจึงหลับลึกอย่างรวดเร็ว

แต่ซูชิงลั่วกลับนอนไม่หลับ

ในหัวนางคิดย้อนไปมาถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้

ลู่เหิงจือไหว้วานให้หมอหลวงซ่งตรวจอาการของนางโดยเฉพาะ ในขณะที่ทุกคนต่างหิวโหย แต่เขากลับยกอาหารของตัวเองให้นางกินก่อน ตอนนางปรนนิบัติท่านยายเขาก็ยืนอยู่ข้างหลังคอยช่วยส่งของ และตอนออกประตูเขาก็ยกม่านให้นาง...

นั่นน่ะหรือลู่เหิงจือที่ลือกันว่าไม่ใกล้ชิดผู้หญิง!

เฉียนเหวินหลิงก็จงใจให้นางไปส่งเขาเป็นพิเศษ อาจเพราะเห็นอะไรบางอย่างหรือเปล่า?

หรือว่า...ลู่เหิงจือมีใจต่อนาง?

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: แต่งกับขุนนาง