บัลลังก์หมอยาเซียน นิยาย บท 1377

ฉีฮั่วมองเขาแล้วพูดว่า "ภรรยาของเจ้าคงจะรู้แล้วว่า ในโลกใบนี้ มีพลังงานมากมายที่เราไม่อาจมองเห็นด้วยตาเปล่า และยังมีสสารอีกมากมายที่เราไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าเช่นกัน แต่จะมีคนบางส่วนที่มองเห็น รวมถึงมีความสามารถในการเปลี่ยนสสารเหล่านี้ให้เป็นพลังงานได้ เช่นเปลวไฟ พวกเราสามารถมองเห็นเปลวไฟได้ แต่มีสสารหลายอย่างที่สามารถแปรเปลี่ยนเป็นเปลวไฟได้ด้วย ตัวอย่างเช่นอากาศที่เราหายใจอยู่ในตอนนี้ ในตัวมันก็มีสิ่งที่เรียกว่าก๊าซไวไฟ ซึ่งมีคุณสมบัติทำให้ติดไฟได้อยู่ด้วยเช่นกัน ตราบใดที่ก๊าซที่ว่านั้นถูกสกัดออกมา เช่น ออกซิเจนและไฮโดรเจนก็ล้วนจุดไฟได้ทั้งสิ้น ดวงตาของนางสามารถปล่อยประกายไฟที่จุดเจ้าก๊าซไวไฟเหล่านี้ให้ลุกไหม้ได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้น หากลบประกายไฟที่ว่านี้ แม้ว่านางจะสามารถควบคุมเจ้าสิ่งที่เรียกว่าก๊าซได้ ก็จะไม่สามารถจุดไฟที่กลั่นออกมาได้อย่างง่ายดายนัก รอเมื่อนางเติบโตขึ้น มีจิตใจและร่างกายที่เติบโตพร้อมเต็มที่ ความสามารถนี้ก็ค่อยคืนมันกลับไปให้นางได้ "

หยู่เหวินเห้าตกตะลึงจนปากอ้าตาค้าง "หมายความว่าอย่างไรกัน? นาง....นางสามารถจุดไฟในอากาศได้ด้วยตัวเอง?"

"เรื่องนี้มีอะไรแปลกล่ะ? ด้วยพลังงานและสสารมากมายในจักรวาล ยังมีคนที่สามารถควบคุมลม ไฟฟ้า ฟ้าร้อง ฝน และอื่น ๆ อีกมากมายนับไม่ถ้วน"

“ทำไมนางถึงควบคุมมันได้? แล้วทำไมข้าถึงควบคุมมันไม่ได้?” หยู่เหวินเห้าถาม

ฉีฮั่วมองเขา " เจ้าไปหยิบแก้วที่อยู่ข้าง ๆ เจ้ามาหน่อยซิ"

หยู่เหวินเห้าหันไปมองแก้วใส่น้ำชาที่อยู่ข้าง ๆ เขา ค่อย ๆ เอื้อมมือไปหยิบมันขึ้นมา

ฉีฮั่วพูดด้วยท่าทางผ่อนคลายสบายใจ“ดูสิ ไม่ใช่ว่าเจ้าเองก็มีความสามารถในการควบคุมแก้วใบนี้หรอกหรือ? พลังงานที่ปล่อยออกมาจากสมองของเจ้า จะเป็นตัวกำหนดสสารที่เจ้าต้องการจะควบคุม แน่นอนว่า สิ่งเหล่านี้สามารถได้มาจากการฝึกฝนพยายามอย่างหนัก เช่นวรยุทธ์ของเจ้า สามารถเหินลอยในอากาศปีนป่ายกำแพง สามารถปลิดกลีบดอกไม้หรือเด็ดใบไม้มาซัดออกไปทำร้ายคนได้ เพราะการกระทำทั้งหมดของเจ้า ล้วนถูกควบคุมโดยสมองของเจ้า มันขึ้นอยู่กับระดับการพัฒนาสมองของเจ้าเป็นสำคัญ"

หยู่เหวินเห้าจ้องมองฉีฮั่วเนิ่นนาน และหลังจากจ้องมองอยู่นาน ในที่สุดก็ยืนขึ้นแล้วพูดว่า "เจ้ารอที่นี่สักครู่ ข้าจะไปหาคนที่เข้าใจสิ่งที่เจ้าพูดมาให้"

แม้ว่าเขาจะไม่อยากให้เจ้าหยวนออกมาพบเขาเร็วขนาดนี้ แต่เขาไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าฉีฮั่วพูดเรื่องอะไร จึงทำได้เพียงให้เจ้าหยวนออกมาช่วยฟังแทนเท่านั้น

หลังจากที่หยวนชิงหลิงออกมา ฉีฮั่วก็ได้พูดประโยคเดิมที่ได้พูดไปซ้ำอีกครั้ง ทั้งยังมีการเพิ่มเติมเข้าไปอีกส่วนหนึ่งว่า "บรรดาสิ่งที่คนธรรมดาทำไม่ได้นั้น พวกเราจะเรียกกันว่าพลังเหนือธรรมชาติ ซึ่งแท้จริงแล้วมีพลังพิเศษอื่น ๆ อีกไม่น้อย แต่เพราะแค่พวกมันไม่ได้แสดงความสามารถออกมาให้เห็นง่าย ๆ ในบางครั้ง เมื่อคนธรรมดาได้เห็นคนที่แสดงความสามารถเหนือธรรมชาติออกมาได้ ก็จะเรียกพวกเขาเหล่านั้นว่าเทพเซียน ความสามารถเหนือธรรมชาติมีทั้งแบบที่มีมาตั้งแต่กำเนิด มีทั้งที่เกิดจากการกลายพันธุ์ มีทั้งที่ได้รับการถ่ายทอดมา มีทั้งฝึกฝนจนได้มา พวกเจ้าคงจะรู้จักไทเฮาหลงแห่งแคว้นต้าโจวใช่หรือไม่? ตระกูลของพวกเขาทั้งตระกูลล้วนมียีนที่เหนือธรรมชาติ แคว้นต้าโจวอยู่ห่างจากเมืองหลวงออกไปหลายพันลี้ แต่นางสามารถมาที่นี่ได้ในทันที ก็เพราะนางสามารถเปลี่ยนร่างของตัวเอง ให้กระจายออกไปอยู่ในสถานะของโปรตอน แล้วถ่ายโอนพวกมันเข้าด้วยกันได้ในทันที”

หยู่เหวินเห้าฟังจนตะลึงอึ้งค้าง “แยกร่างกายออกเป็นชิ้น ๆ? จากนั้นค่อยประกอบเข้าด้วยกันใหม่อีกครั้ง? มันเรื่องบ้าอะไรกันล่ะนี่?”

ฉีฮั่วขมวดคิ้วแล้วพูดว่า"แยกเป็นชิ้นๆอะไรของเจ้า? ชุดข้อมูลควอนตัมในร่างกายของคนเรา มันไม่มีทางสลายหายไปเฉย ๆ ได้หรอกนะ นี่คือสิ่งที่พวกเจ้าเรียกกันว่าวิญญาณ ขอแค่ชุดข้อมูลควอนตัมถูกรวบรวมกลับมาได้ สรุปง่าย ๆ นะ ก็จะเปรียบเหมือนกับสามจิตเจ็ดวิญญาณของพวกเจ้า เมื่อสิ่งเหล่านั้นถูกควบแน่นกลับมาโดยควบคุมผ่านพลังพิเศษของนาง ก็จะสามารถรวมตัวเองได้ในทันที แล้วมายืนอยู่ตรงหน้าเจ้าในร่างคนได้อย่างสมบูรณ์"

คำพูดเหล่านี้ หยู่เหวินเห้าไร้หนทางฟังให้เข้าใจได้โดยสิ้นเชิงแล้วจริง ๆ แต่หยวนชิงหลิงนั้นฟังเข้าใจได้ทั้งหมด

อันที่จริง มันมีผลจากการศึกษาวิจัยมานานแล้วว่า ในตอนที่หัวใจของคนเราหยุดเต้น และเลือดหยุดไหล ไมโครทูบูล (หลอดเล็ก ๆ ที่เรียงติดกันเป็นคู่ ๆ อยู่ภายในเซลล์ช่วยให้เซลล์คงรูปร่างอยู่ได้) จะสูญเสียสถานะควอนตัม แต่ข้อมูลควอนตัมที่มีอยู่ในนั้นจะไม่ถูกทำลาย และจะแพร่กระจายไปในจักรวาล เมื่อไหร่ที่ผู้ป่วยเสียชีวิตลง ข้อมูลควอนตัมดังกล่าวจะออกไปอยู่นอกร่างกายในระยะเวลาที่ไม่แน่นอนชั่วขณะหนึ่ง ซึ่งจะกลายเป็นสิ่งที่ถูกเรียกว่า "วิญญาณ"

นางมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้น้อยเกินไป แต่มั่นใจได้แน่นอนเลยว่าฉีฮั่ว หรือไทเฮาหลงคงจะมีความรู้ในศาสตร์ด้านนี้ที่สูงกว่านาง

เมื่อเห็นลูกสาวนอนอยู่ในอ้อมแขนของฉีฮั่วอย่างว่าง่าย ในที่สุดหยวนชิงหลิงก็พยักหน้าช้า ๆ แล้วพูดว่า “ตกลง ข้ารับปากให้นางเป็นศิษย์ของเจ้าได้”

หยู่เหวินเห้าถึงกับตะลึงไปครู่หนึ่ง เงยหน้าขึ้นมองเจ้าหยวน มันเป็นไปได้อย่างไรกัน? เจ้าฉีฮั่วนี่มาพูดเรื่องเหลวไหลไร้สาระอะไรไม่รู้เป็นกระบุงโกย ก็สามารถพูดกล่อมให้เจ้าหยวนยอมรับฟังได้ง่าย ๆ อย่างนี้เลยรึ?

นี่มันจะไร้หลักการเกินไปแล้วกระมัง? ยังไม่ได้ถามเสด็จปู่ใหญ่เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

ฉีฮั่วแตะที่หน้าผากของนางเบา ๆ หัวเราะกว้างจนเห็นฟัน ในบรรยากาศที่ดูดุร้ายน่ากลัวกลับแฝงไปด้วยความรู้สึกที่ดูเป็นมิตรน่าคบหาขึ้นมาหลายส่วน พูดว่า “ดีมาก ในอนาคตนางจะกลายเป็นหงส์ไฟที่โดดเด่นงามสง่าเกินใครอย่างแน่นอน!”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บัลลังก์หมอยาเซียน