บัลลังก์หมอยาเซียน นิยาย บท 1460

สรุปบท บทที่ 1460 เสียดายไม่มีกล้องถ่ายรูป: บัลลังก์หมอยาเซียน

สรุปเนื้อหา บทที่ 1460 เสียดายไม่มีกล้องถ่ายรูป – บัลลังก์หมอยาเซียน โดย ลิ่วเยว่

บท บทที่ 1460 เสียดายไม่มีกล้องถ่ายรูป ของ บัลลังก์หมอยาเซียน ในหมวดนิยายนิยาย จีน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย ลิ่วเยว่ อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

หยู่เหวินเห้าจ้องนางพลางพูดว่า "ตอนนี้ข้ารู้สึกรำคาญใจอยู่น่ะ"

ตอนนี้เขากังวลเรื่องผลได้ผลเสียของตัวเอง ระมัดระวังทุกย่างก้าว เพราะทุกครั้งที่เขาคาดหวังรอคอยที่จะได้จัดงานใหญ่กับเจ้าหยวน สุดท้ายมันก็จะกลายเป็นงานเล็ก ๆ ไปหมด ซึ่งเป็นอะไรที่น่าหงุดหงิดมาก จะมีใครที่เข้าใจเขาบ้าง? เขาตั้งหน้าตั้งตารอคอยว่าจะมีสักครั้งที่ทุกอย่างจะเป็นไปอย่างราบรื่นดั่งใจหวังบ้าง ให้เขาได้จัดงานแต่งงานที่แท้จริงกับเจ้าหยวนอย่างมีความสุข ไม่ใช่ว่ามีคนพูดไว้หรอกหรือ? ว่าชีวิตนี้ของคนเราจำต้องมีความรู้สึกร่วมแห่งพิธีกรรม เขาสนใจที่จะได้สัมผัสความรู้สึกร่วมในพิธีกรรมที่ว่านี้ ว่ามันจะรู้สึกอย่างไร?

หยวนชิงหลิงรู้ถึงความกังวลใจของเขา จึงกุมมือของเขาแล้วปลอบว่า "เจ้าอย่าตีตนไปก่อนไข้เลยนะ นี่มันเป็นแค่ความปรารถนาของคุณหนูโจว พวกเราอย่าดูถูกความสามารถในการแบกรับปัญหาของจิ้งเหอดีกว่า ในเมื่อนางตัดสินใจที่จะปล่อยวาง เลี้ยงดูเด็ก ๆ เหล่านั้นอย่างดี บางทีนางอาจจะไม่พังทลายง่าย ๆ ก็ได้นะ”

หยู่เหวินเห้าถามว่า "แล้วเจ้ายังโกรธอยู่หรือไม่?"

หยวนชิงหลิงพูดว่า "ที่ข้าโกรธ ก็เพราะคิดว่าอ๋องเว่ยพาผู้หญิงกลับเมืองหลวงมาด้วย อันที่จริง ต่อให้เขาอยากจะแต่งงานจริง ๆ พวกเราก็เข้าไปยุ่งไม่ได้ ก็แค่หวังว่าเขาจะไม่พานางกลับมาด้วย อย่างน้อย ๆ ก็ให้เวลาจิ้งเหอสักสองสามปี ใช่หรือไม่ล่ะ? "

หยู่เหวินเห้าพยักหน้ารับ "อื้ม ข้าก็รู้สึกเป็นห่วงจิ้งเหอเหมือนกัน แต่สิ่งที่ข้าสนใจมากที่สุด ก็คือการแต่งงานของเรา ที่มันไม่ควรจะเกิดปัญหาอะไรขึ้นมาอีกแล้ว ข้าถึงกับไปสวดมนต์ไหว้พระมาแล้วด้วย"

หยวนชิงหลิงถึงกับหลุดหัวเราะคิก “จริง ๆ แล้วต่อให้เป็นแค่งานที่เรียบง่าย มันก็ไม่เป็นไรหรอก พวกเราแต่งงานกันไปในยุคปัจจุบันครั้งหนึ่งแล้วนี่”

บนใบหน้าอันหล่อเหลาของหยู่เหวินเห้า มีคำว่าไม่พอใจตัวใหญ่ ๆ เขียนติดไว้เด่นหรา “โดยหลักการแล้ว นั่นไม่เรียกว่างานแต่งงาน เป็นแค่การเรียกสมาชิกในครอบครัวมากินข้าวกันอย่างพร้อมหน้า เจ้าเคยบอกว่า หวังว่าทุกคนที่เจ้าห่วงใยจะสามารถมาร่วมงานแต่งงานได้ ดังนั้นเรื่องนี้ก็คือเรื่องสำคัญที่สุดของเราในปีนี้"

หยู่เหวินเห้าร้อนอกร้อนใจไปหมด ไม่ว่าใคร หรือเรื่องอะไร ก็มาหยุดเขาไม่ได้

แล้วเขาก็ควรจะเห็นแก่ความสุขส่วนตัวสักครั้งในชีวิตได้แล้ว

หยวนชิงหลิงรู้ถึงความในใจของเขาดี จึงอาศัยจังหวะที่อ๋องเว่ยยังมาไม่มาถึงเมืองหลวง รีบไปหาจิ้งเหอเพื่อคุยเรื่องนี้ทันที ให้นางได้เตรียมตัวเตรียมใจก่อน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นางรู้เรื่องนี้แบบกะทันหัน แล้วจะเกิดความคิดฟุ้งซ่านขึ้นมา

เมื่อมาถึงบ้านของจิ้งเหอ นางกำลังทำขนมให้เด็ก ๆ อยู่ในครัว พอได้ยินว่าหยวนชิงหลิงมา จึงสั่งให้ข้ารับใช้ทำต่อ แล้วรีบล้างมือก่อนจะออกมาต้อนรับหยวนชิงหลิงทันที

สองพี่น้องสะใภ้นั่งอยู่ที่ห้องโถงใหญ่ นางชงชาให้หยวนชิงหลิงด้วยตัวเอง พูดด้วยรอยยิ้มว่า "นี่เป็นใบชาที่ข้าเคยปลูกไว้ที่สำนักนางชีเมื่อก่อนหน้านี้ แม้ว่าจะเทียบกับใบชาคุณภาพสูงไม่ได้ แต่ก็มีรสชาติที่แตกต่างเป็นเอกลักษณ์ พระชายารัชทายาทลองชิมดู"

หยวนชิงหลิงเห็นว่าวิธีการชงชาของนางดูแล้วสง่างามมาก แต่มือทั้งสองข้างกลับค่อนข้างหยาบ ซึ่งแสดงให้เห็นว่านางทุ่มเทดูแลเด็ก ๆ ด้วยตัวเองอย่างเต็มที่จริง ๆ

นางกดใบชาแล้วยกขึ้นดื่ม กลิ่นหอมไม่นับว่าแรงมาก แต่รสชาติของชาเข้มข้นดี เมื่อดื่มแล้วทำให้รู้สึกชุ่มคอ คลายความกระหายน้ำ

“อร่อยหรือไม่?” จิ้งเหอถาม

“ ไม่เลวเลย ยังมีอีกหรือไม่? ก่อนกลับเอาให้ข้าสักหน่อย” หยวนชิงหลิงถามด้วยรอยยิ้ม

“ มีสิ ก่อนกลับข้าจะให้คนห่อให้เจ้าเอากลับไปด้วย” จิ้งเหอวางถ้วยชาลงแล้วมองนาง “เจ้าตั้งใจมาครั้งนี้ เป็นเพราะมีอะไรจะบอกข้าอย่างนั้นหรือ?”

หยวนชิงหลิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ตรองว่าควรคุยกับจิ้งเหอก่อน หรือควรพูดเรื่องนี้ออกไปเลยตรง ๆ ดี จึงมองนางแล้วพูดว่า “ข้าได้ยินมาว่าพี่สามกำลังอยู่ระหว่างเดินทางกลับมาเมืองหลวง แต่ ลูกสาวของเจ้าเมืองโจวแห่งเจียงเป่ยที่ชื่อว่าคุณหนูโจวก็ไล่ตามเขากลับมาด้วย คุณหนูโจวคนนี้ มีใจปรารถนาอย่างแรงกล้าต่อเขา เจ้าห้าได้ไปสอบถามมาแล้ว พบว่าพี่สามไม่ได้มีใจแบบนั้นกับนางโดยสิ้นเชิง”

จิ้งเหอฟังคำพูดของหยวนชิงหลิงเงียบ ๆ สีหน้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ยังคงไม่แยแสเช่นเคย แต่ปลายนิ้วที่จับถ้วยชากลับสั่นเล็กน้อย

"โอ้!"

นางแค่ร้องโอ้ออกมาเสียงหนึ่ง จากนั้นก็ไม่พูดอะไรอีก ชั่วขณะนั้นก็มองไม่ออกด้วยว่านางกำลังคิดอะไรอยู่

หยวนชิงหลิงมองนาง แล้วถามอย่างระมัดระวังว่า "เจ้ารู้สึกไม่สบายใจหรือไม่?"

ขนตาของจิ้งเหอสั่นไหวระริก มองน้ำชาในถ้วยแล้วพูดเบา ๆ ว่า “หากจะบอกว่าข้าไม่รู้สึกอะไรเลย ก็เท่ากับว่าโกหกเจ้า แต่ถ้าจะบอกว่าไม่สบายใจ ก็ไม่ใช่อีก อันที่จริง ข้าเองก็เคยเตรียมใจไว้แล้ว คิดว่าสุดท้ายเขาจะต้องแต่งงานใหม่แน่ ๆ เพราะในเมื่อข้าเลือกแล้วว่าจะใช้ชีวิตแบบนี้ไปตลอด ก็จะไม่ปล่อยให้ตัวเองคิดฟุ้งซ่านอีกต่อไป”

หยู่เหวินเห้าอดรู้สึกเศร้าใจไม่ได้ "บางทีพวกเขาอาจไม่มีวาสนาต่อกันจริง ๆ ก็ได้นะ? ตอนแรกก็เป็นการบังคับเพื่อให้ได้มา ตอนนี้ค่อยมารู้สึกเสียดายก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว อย่าไปคิดถึงมันอีกเลยนะ ไปนอนเถอะ "

หยวนชิงหลิงส่งเสียงตอบรับไปเสียงหนึ่ง แต่ก็มีความคิดผุดขึ้นมาในใจไม่หยุด จึงฝืนกดมันลงไป ไม่ให้มันผุดขึ้นมาอีก

แต่มันไม่ได้จริงๆ!

เพราะการย้อนเวลากลับไปแก้ไขเรื่องราวเรื่องหนึ่ง มันจะเกิดผลกระทบที่เรียกว่าทฤษฎีผีเสื้อขยับปีก (The Butterfly Effect) ซึ่งจะทำให้หลายสิ่งหลายอย่างในตอนนี้เปลี่ยนแปลงไป

นางไปอาบน้ำ เมื่อกลับมาก็เห็นเจ้าห้ากำลังอุ้มเสี่ยวกวาจื่อหยอกเย้าไปมาอยู่บนเตียงหลัวฮั่น แม่หนูน้อยง่วงนอนมากแล้ว หาวติด ๆ กัน ดวงตาสะลึมสะลือแทบจะปิดให้ได้ แต่เจ้าห้ากลับเอาแต่คุยกับนางไม่หยุด

“ กลับมาครั้งนี้ ของพื้นฐานทุกอย่างที่สามารถเอามาได้ ล้วนเอามาทั้งหมดแล้ว แต่กลับลืมเอาสิ่งหนึ่งกลับมาด้วย นั่นก็คือกล้องถ่ายรูป พ่ออยากช่วยเจ้าถ่ายรูปให้เยอะ ๆ เลย แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก รอให้ท่านยายของเจ้ามา ค่อยขอร้องให้นางซื้อติดตัวมาด้วยสักตัวหนึ่ง ”

ดวงตาของเสี่ยวกวาจื่อค่อย ๆ ปิดลงช้า ๆ น้ำเสียงของพ่อเหมือนบทสวดที่ใช้สะกดจิตเลย พูดพร่ำไม่ยอมหยุด

หยวนชิงหลิงแขวนเสื้อคลุม แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า "เจ้าเอามาที่นี่ก็ไม่มีประโยชน์หรอก เจ้าจะใช้ถ่ายได้แค่ไม่กี่วันเท่านั้น ถ้าไม่มีแบตแล้วก็ถ่ายไม่ได้แล้ว"

หยู่เหวินเห้าเงยหน้าขึ้น "ก่อนหน้านี้ข้าเคยได้ยินท่านพี่ภรรยาพูดว่า มีของสิ่งหนึ่งที่ถูกเรียกว่าเครื่องกำเนิดไฟฟ้าขนาดเล็ก พวกเราพอจะซื้อมันกลับมาที่นี่ด้วยได้หรือไม่?"

“ เจ้าควรหยุดทำสิ่งที่มันขัดกับยุคสมัยเหล่านี้ได้แล้ว ถ้าเจ้าอยากถ่ายรูปช่วงเวลาที่น่าสนใจของนางจริง ๆ ก็ไปเรียนการวาดรูปเสียสิ เจ้าวาดรูปนางด้วยมือของตัวเอง ไม่แสดงถึงความรักได้มากกว่าหรือ? ”หยวนชิงหลิงเดินเข้าไป อุ้มเสี่ยวกวาจื่อขึ้นมา แล้วตบหลังกล่อมนางเบา ๆ

“วาดอย่างไรล่ะ?” เจ้าห้ามีท่าทีกระอักกระอ่วนเล็กน้อย เขารู้ทุกอย่าง ทั้งพิณ หมาก พู่กันจีน ภาพวาด แต่แค่รู้กับรู้กระจ่างมันต่างกัน “อย่างไรก็ยังดีไม่เท่ากล้องถ่ายรูปนี่ ถึงตอนนั้นลองถามท่านพี่ภรรยาดูนะ ว่าช่วยเอาแบตสำรองมาสักหลาย ๆ อันได้หรือไม่?”

หยวนชิงหลิงหัวเราะ พลางอุ้มเสี่ยวกวาจื่อไปส่งให้แม่นม เสี่ยวกวาจื่อยังต้องกินนมตอนดึก จึงต้องให้แม่นมคอยดูแลด้วยอีกแรง

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บัลลังก์หมอยาเซียน