บัลลังก์หมอยาเซียน นิยาย บท 1523

หรงเยว่กับสาวใช้ช่วยกันอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เหลิ่งเฟิ่งชิง เสื้อผ้าใหม่ทำเสร็จนานแล้ว ระหว่างที่รอหยวนชิงหลิงกลับมา ท่านชายสี่ก็สั่งให้คนตระเตรียมซื้อเสื้อผ้าใหม่ไว้ให้นางมากมาย

เส้นผมนั้นไม่สามารถสระได้จริง ๆ หรงเยว่ช่วยตัดให้ด้วยตัวเอง ยังดีที่หลังจากแช่ผมในน้ำร้อนแล้ว เส้นผมส่วนใหญ่ก็กระจายตัวออกจากกัน จนไม่ต้องตัดออกมากนัก

หลังจากเปลี่ยนใส่เสื้อผ้าใหม่แล้ว หรงเยว่ก็ช่วยแต่งตัวแต่งหน้าให้นางเล็กน้อย รวบผมขึ้นเกล้าเป็นมวย ภาพหญิงวัยกลางคนที่สะท้อนในกระจกทองแดง จึงดูเหมือนเปลี่ยนเป็นคนใหม่เลยทีเดียว

วันเวลาไม่ได้พรากความสวยไปจากสาวงามผู้นี้ นางยังคงงดงามเหมือนเดิม แค่หลังจากล้างหน้าแล้ว ก็พบว่ามีริ้วรอยรอบดวงตา กับรอยย่นบนหน้าผากบ้างเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ทำลายความงามของนาง

ติดอยู่แค่นางผอมมาก สีหน้าก็ซีดเซียวมากเช่นกัน

เสื้อผ้าสีเรียบ ๆ ห่อคลุมบนร่างกายที่ผอมบางของนาง มีขนาดใหญ่กว่าตัวไปมาก แต่ก็ไม่ได้ดูน่าเกลียด กลับมีเสน่ห์อย่างหนึ่งที่ให้กลิ่นอายราวกับเทพเซียน ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะนางอาศัยอยู่บนยอดเขาหมาป่าหิมะมานานถึงสามสิบหกปี โดยที่ไม่มีความทุกข์ร้อนกังวลใด ๆ เหมือนตัดขาดทุกเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับทางโลกไปหมด

หัวใจของนางยังคงเต็มไปด้วยความสุข ทุกอย่างเป็นเหมือนกับความฝัน นางไม่อาจคิดฝันไปได้ไกลกว่านี้อีกแล้ว ความแค้นเคืองเกลียดชังไม่ได้ถาโถมเข้าจนเต็มหัวใจ เพราะนางไม่มีเวลาไปคิดเรื่องอะไรพวกนี้

ดังนั้น ในตอนที่หรงเยว่จูงมือนางแล้วพาเดินออกไป บนใบหน้าของนางก็ยังคงประดับด้วยรอยยิ้มอันเปี่ยมสุขเช่นเดิม

อาหารมื้อนี้ หรงเยว่ไม่ได้เข้าร่วมด้วย ก่อนที่พวกเขาจะเริ่มมื้ออาหาร นางก็ขอตัวกลับไปก่อนแล้ว นี่เป็นมื้อแรกหลังจากพลัดพรากกันไปสามสิบหกปี มื้อแรกของพวกเขาแม่ลูก นางไม่อยากเข้าไปรบกวน

หรงเยว่เดินจากไปภายใต้แสงจันทร์ที่สาดส่อง เดินออกจากเรือนหลักแล้วหันหน้ากลับไปมอง เห็นท่านป้านั่งลงอย่างระมัดระวัง ดวงตาจ้องมองท่านชายสี่แบบไม่ละสายตา เหมือนกับว่ามองเท่าไรก็ไม่พอ ราวกับว่านางต้องการทวงคืนวันเวลาที่หายไปนานถึงสามสิบหกปีกลับมาให้หมด หรงเยว่เห็นแล้วทรมานใจมาก นางจึงหันหลังแล้วเดินจ้ำอ้าวจากไปทันที

ครอบครัวสี่คนนั่งกินข้าวด้วยกันพร้อมหน้า ท่านชายสี่อุ้มเทียนสิงไว้ตลอดไม่ยอมวางเลย เทียนสิงดูจะชอบใจที่ท่านพ่ออุ้มตัวเองมาก ไม่ร้องไห้ไม่งอแง ทั้งยังยิ้มแย้มหัวเราะด้วยใบหน้ายุ้ย ๆ อ้วนกลมนั้นอย่างมีความสุข

อาหารเย็นมื้อนี้ค่อนข้างเน้นรสจืด เพราะสิ่งที่เหลิ่งเฟิ่งชิงกินตอนที่อยู่บนภูเขา ส่วนใหญ่เป็นซาลาเปาแห้ง ไม่ได้กินเนื้อสัตว์มาหลายสิบปีแล้ว ชั่วขณะหนึ่ง จึงไม่ควรกินเนื้อสัตว์หรืออาหารที่หนักท้อง ดังนั้นสิ่งที่เตรียมไว้จึงเป็นอาหารเบา ๆ และรสชาติอ่อน ๆ

แต่เหลิ่งเฟิ่งชิงก็ยังกินได้น้อยมาก ท่านชายสี่ขอร้องแกมบังคับให้นางดื่มน้ำแกงไปชามหนึ่ง นางยอมเชื่อฟังลูกชาย ดื่มน้ำแกงไปพลาง ก็ยิ้มทึ่มทื่อไปพลาง แล้วก็ร้องไห้น้ำตาไหลอาบแก้มไปพลาง

น้ำตาร่วงหยดลงไปในชามน้ำแกง

หลิงเอ๋อมองดูจนทรมานไปทั้งใจ รอจนนางดื่มเสร็จค่อยยื่นมือเข้าไปใต้โต๊ะแล้วจับมือของนาง เหลิ่งเฟิ่งชิงก็จับมือนางกลับ ส่วนอีกมือหนึ่งก็ยื่นไปจับมือลูกชาย

การกลับมาพบกันที่แสนจะล่าช้านี้ ทำให้คนในจวนเหลิ่งที่ได้เห็น ต่างก็พากันเสียน้ำตาไปด้วยไม่น้อย

เรื่องพวกนี้เป็นอะไรที่ท่านชายสี่ไม่อยากให้นางจำขึ้นมาได้รวดเร็วนัก ดังนั้น รอจนกินข้าวเสร็จ เขาก็สั่งให้คนไปเตรียมน้ำแกงที่ช่วยผ่อนคลายประสาทมาให้ เพื่อที่นางดื่มแล้วจะได้นอนหลับสบาย

แต่น้ำแกงคลายประสาทต้องใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วยามถึงจะออกฤทธิ์ หลังจากที่ท่านชายสี่ไปส่งนางกลับห้อง เขาก็ให้นางนอนลง แล้วนั่งคุยกับนางที่ข้างเตียง

เหลิ่งเฟิ่งชิงเอาแต่ถามเขาเกี่ยวกับเรื่องราวในวัยเด็ก และถามว่าอาจารย์ปฏิบัติต่อเขาดีหรือไม่

ท่านชายสี่พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน น้ำเสียงของเขามีเอกลักษณ์ที่คล้ายกับมีคลื่นบางอย่าง บวกกับความแหบที่ไม่เหมือนใคร เขาพูดอย่างช้า ๆ แน่นอนว่านี่เป็นเจตนาของเขา เพราะเขาคิดว่าจะใช้การเล่าเรื่องราวเหล่านี้ ช่วยทำให้แม่นอนหลับ

แท้ที่จริงแล้ว ชีวิตในวัยเด็กของเขาไม่ได้มีอะไรที่น่าอวดนัก อย่างน้อยสำหรับเขามันก็เป็นแบบนั้น ด้วยความที่เขาฉลาดมาก เรียนรู้ทุกอย่างได้อย่างรวดเร็ว ความเมตตาที่อาจารย์มีต่อเขาไม่น้อยไปกว่าความเมตตาที่แม่มีให้ลูกเลย เขาดูไปแล้วเหมือนคนที่ขาดญาติพี่น้อง แต่แท้จริงแล้วกลับไม่เคยขาดเลย

เหลิ่งเฟิ่งชิงได้ฟังแล้วก็รู้สึกสบายใจมากนางอยากฟังให้มากกว่านี้ แต่เปลือกตากลับหนักอึ้งจนปิดลงมาแล้ว ง่วงมากจนแทบทนไม่ไหว แต่ใจก็ยังอาลัยอาวรณ์ไม่อยากปล่อยมือเขา

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บัลลังก์หมอยาเซียน