หลังจากคุณย่าหยวนตรวจชีพจรแล้ว แม้ว่าร่างกายของเหลิ่งเฟิ่งชิงจะอ่อนแอ แต่ก็ไม่ได้มีปัญหาร้ายแรง ส่วนอาการเวียนหัวนั้น เป็นเพราะเมื่อคืนดื่มน้ำแกงคลายประสาทที่เข้มข้นเกินไป ร่างกายที่เวลานี้มีพื้นฐานอ่อนแอไม่สามารถทนได้ในชั่วขณะหนึ่ง แต่ถึงอย่างไรนางก็เป็นผู้ที่ฝึกฝนวรยุทธ์มาก่อน หากได้พักผ่อนให้เพียงพอ ก็จะไม่มีปัญหาร้ายแรงอะไร
วันรุ่งขึ้น ฮ่องเต้หยู่เหวินเห้าก็มีราชโองการ ให้ราชบุตรเขยเหลิ่งซี่ พาคนไปอวยพรวันเกิดเจ้าเมืองเฟิงตู เหยี้ยนจือหยู
บรรดาคนที่พาไปไม่นับว่าเยอะ แต่เบื้องหลังของแต่ละคนน่ากลัวมาก
สำนักเหลิ่งหลังส่งกองกำลังทั้งหมดออกประจัญบาน สำนักเหมยแดงก็ส่งกองกำลังทั้งหมดออกประจัญบาน องครักษ์ลับผีหน่วยที่หนึ่งออกประจัญบาน หน่วยที่สองรักษาการณ์อยู่ในเมืองหลวง ส่วนคนที่จะทำหน้าที่แม่ทัพคอยบัญชาการได้ก็จะมี คู่สามีภรรยาลู่หยวนกับเสี้ยวหงเฉิง สวีอี กู้ซือ ฮุ่ยเทียน หรงเยว่ หลู่หม่าง กับพี่ซูหลง เป็นต้น
อ๋องชินเฟิงอันสามีภรรยาพาเสือขนทองกับหมาป่าหิมะ รวมถึงหมาป่าสีเทาที่ได้รับการฝึกฝนจากท่านชายสี่ไปด้วย ดูอึกทึกคึกคักอย่างยิ่ง ต่างพากันมุ่งหน้าไปยังเมืองเฟิงตู
ที่ด้านหลังของขบวนอันยิ่งใหญ่นี้ มีท่านชายหงเย่ที่พาเจ้าลิงติดตามไป กับมารกระบี่ที่สะพายกระบี่ยาวไว้ที่แผ่นหลัง ค่อย ๆ เยื้องย่างตามไปอย่างช้า ๆ
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เมืองเฟิงตูมีการส่งบรรณาการให้ราชสำนักน้อยลงเรื่อย ๆ ทั้งยังมีท่าทีเหมือนหลบอยู่แค่ในที่ตัวเอง ไม่พัฒนาพื้นที่ให้ก้าวหน้า แต่กลับยึดครองที่ดินทำตัวเป็นเจ้าของที่ดินเอง พอใกล้จะถึงวันเกิดของเขา แล้วจู่ ๆ ทางราชสำนักก็ส่งราชบุตรเขยกับกองทัพบางส่วนมาอวยพรวันเกิด แน่นอนว่าเขาต้องรู้สึกระแวงเป็นธรรมดา
แต่เมื่อส่งคนไปตรวจแล้ว กลับไม่มีวี่แววว่ากองทัพจะเคลื่อนไหว ทั้งยังพาแต่คนประเภทที่ไม่ได้มียศถาบรรดาศักดิ์อะไรในราชสำนักมา ทำให้รู้สึกวางใจได้มาก หรือต่อให้มีเจตนาร้ายขึ้นมาจริง ๆ ก็เป็นได้แค่การลงไม้ลงมือเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น และหากมีเจตนาร้ายจริง การจะเข้าเมืองเฟิงตูนั้นอาจจะง่าย แต่การจะออกไปนั้นทำได้ยากแน่ นี่ไม่เท่ากับว่าอีกฝ่ายเดินทะเล่อทะล่าเข้ามาเป็นเต่าในไหให้เขาจับได้ง่าย ๆ หรอกหรือ?
แต่เขาก็ยังกลัวอ๋องชินเฟิงอันสามีภรรยาอยู่มาก จึงสั่งให้เฝ้าระวังภายในเมืองเฟิงตูทันที สั่งกองทัพเข้าประการปกป้องรอบเมือง ให้แม่ทัพนายกองทั้งหมดอยู่ในสถานะเตรียมพร้อม
โชคดีที่ในช่วงหลายปีมานี้ เมืองเฟิงตูของเขาได้มีโอกาสต้อนรับขับสู้ จนรู้จักสหายในยุทธภพมากมาย มียอดฝีมือจำนวนไม่น้อย ที่จะมาร่วมฉลองงานเลี้ยงวันเกิดในครั้งนี้ด้วย
ในช่วงหลายปีมานี้ แม้ว่าจะมีการส่งบรรณาการน้อยลง แต่ราชสำนักเวลานี้แม้แต่ตัวเองก็ยังเอาตัวไม่รอด ทั้งยังไม่เคยตำหนิเขา ถึงขั้นไม่เคยออกราชโองการตำหนิหรือสอบสวนอะไรเขาเลยสักครั้ง เขายิ่งรู้สึกลำพองใจมากขึ้นเรื่อย ๆ คิดว่าเมืองเฟิงตูนั้นแข็งแกร่งมากพอแล้ว ราชสำนักก็คงจะกลัวเขาอยู่หลายส่วน
แล้วตอนนี้ พวกแม่ทัพนายกองปลาซิวปลาสร้อยที่อ๋องชินเฟิงอันพามา จะนับเป็นอะไรได้?
แม้ว่าเขาจะไม่เห็นคนเหล่านี้อยู่ในสายตา แต่กลับกำลังนึกเดือดเนื้อร้อนใจกับเรื่องอื่นมากกว่า
นั่นคือเรื่องหลุมฝังศพของตระกูลเทียนซ่วน
วิญญาณของคนพวกนี้ตายไปสามสิบหกปีแล้ว แต่กลับยังตามมาหลอกมาหลอนอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเกิดเรื่องใหญ่โตอะไรขึ้นในเมืองเฟิงตู ก็มักจะมีคนที่หวนระลึกถึงความทรงจำของตระกูลเทียนซ่วน บอกว่าพวกเขามีความสามารถหยั่งรู้ฟ้าดิน รู้ลิขิตฟ้าสามารถเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิต ตอนที่คนในตระกูลเทียนซ่วนยังมีชีวิตอยู่ คำสรรเสริญเยินยอนี้ยังไม่นับว่าสูงนัก แต่พอพวกเขาตายไป ผู้คนกลับมองพวกเขาเป็นดั่งเทพเซียน
ผ่านไปสามสิบหกปีแล้ว คนที่เคยได้พบคนตระกูลเทียนซ่วน ก็ล้มหายตายจากไปแล้วมากมาย แต่จะยอมปล่อยให้ตระกูลเทียนซ่วน ยังคงมีชื่อเสียงเกียรติยศสูงส่งอยู่ในเมืองแบบนี้ต่อไปไม่ได้ ตอนนี้มันถึงเวลาแล้ว ที่จะต้องขุดรากถอนโคนตระกูลเทียนซ่วนให้หมดจนไม่เหลือแม้แต่ซาก
ทั้งท่านห้ากับท่านนักพรตต่างก็บอกว่า ตอนนี้เขาสามารถลงมือได้ตามอำเภอใจแล้ว นั่นจะบรรเทาความทรมานของซูหรูซวงได้ แต่เขาไม่ได้มีความตั้งใจที่จะทำเช่นนั้น ไม่ว่าซูหรูซวง จะได้รับความทุกข์ทรมานหรือไม่ เขาก็ไม่เห็นว่ามันสำคัญอีกต่อไปแล้ว เขาเพียงต้องการรวบรวมอำนาจ รวบรวมศูนย์กลางการปกครองของเขา อาศัยความทะเยอทะยานทำลายคำแนะนำที่ให้หลีกเลี่ยงความขัดแย้งกับราชสำนัก ซึ่งเสนอโดยตระกูลเทียนซ่วนให้กลายเป็นแค่เศษขยะไร้ค่า เขาต้องเลือกเวลาที่จะประกาศสงครามกับราชสำนัก เพื่อให้เมืองเฟิงตูกลายเป็นแคว้นอิสระ
ก่อนการวางแผนเผาสุสาน จู่ ๆ ท่านห้าก็ล้มป่วย แล้วสั่งให้คนมาเชิญเขาไปที่จวน
ท่านห้าเป็นทั้งที่ปรึกษา รวมถึงเป็นขุนนางเก่าแก่ที่ครอบครัวทำงานให้เขามาหลายรุ่น เขาย่อมเป็นห่วงเรื่องอาการป่วยของที่ปรึกษาหวู่เป็นธรรมดา จึงเร่งพาหมอที่มีชื่อเสียงในเมืองมารักษาให้
แต่ล้มป่วยไปแค่ไม่กี่วัน ร่างทั้งร่างของท่านห้าก็เรียกได้ว่า เกือบจะมีลักษณะที่บิดเบี้ยวผิดรูปไปเลย ซูบผอมจนแก้มตอบตาลึกโหล เหยี้ยนจือหยูตกใจมาก "นี่เจ้าป่วยเป็นโรคอะไรกันแน่? ทำไมถึงได้ร้ายแรงขนาดนี้?"
ท่านห้าพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนระโหยว่า "ปวดกระเพาะ นอกจากดื่มน้ำกับพอจะกินข้าวต้มได้นิดหน่อย กินอะไรอื่นเข้าไปก็จะปวดจนทนไม่ไหว เกรงว่าข้าคงจะไม่ไหวแล้ว"
เหยี้ยนจือหยูรู้ว่าเขามีปัญหาเรื่องกระเพาะมานานแล้ว จะเชิญหมอมาตรวจวินิจฉัยอาการเพื่อรักษาให้ เขาก็เอาแต่บอกว่าไม่ต้อง
เขาสั่งให้คนรอบข้างถอยออกไป จับมือของเหยี้ยนจือหยูไว้ ในดวงตามีประกายแสงวับวาม "ท่านเจ้าเมือง เวลานี้ข้าไม่อาจใช้ประโยชน์อะไรได้อีกแล้ว มีคำพูดบางประโยคที่ข้าอยากฝากฝังไว้ให้ท่าน ท่านฟังแล้วต้องเก็บใส่ใจเอาไว้ให้ดี”
เหยี้ยนจือหยูพูดว่า "ท่านอาจารย์ หากท่านมีอะไรจะพูดก็เชิญพูดมาได้เลย"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บัลลังก์หมอยาเซียน
สองขาของหยู่เหวินเห้าก็คดงอคุกเข่าลงอย่างช่วยไม่ได้ เอ่ยอย่างไม่เต็มใจเลยสักนิดว่า “ลูกยินดียอมรับโทษทัณฑ์ที่เหลือของเสด็จพ่อ ชอบข้อความบทนี้ตลกดีคะพระเอก ตอน 394...
1...
1...
เพิ่งอ่านได้ 2ร้อยกว่าหน้า สนุกน่าติดตามมาก แต่ทั้งเรื่องมี2พันกว่าหน้า ทำไงจะอ่านจบ...
ขอบคุณผู้แต่ง และ novelones มากๆค่ะ ดีที่สุด อ่านรอบที่ 4 แล้วก็ยังสนุกครบรส ❤️...
เรื่องนี้ถือว่าสมบูรณ์มากสนุกต้นถึงจบ อยากให้เป็นซีรี่ย์...
สนุก ตลกดี เนื้อเรื่องชวนติดตามแต่คำผิดเยอะไปหน่อยค่ะ...