บัลลังก์หมอยาเซียน นิยาย บท 1635

หยวนชิงหลิงเหนื่อยมาก พูดไป ๆ ก็ผล็อยหลับไปเลย

แต่หยู่เหวินเห้ากลับตื่นเต้นมากจนนอนไม่หลับ แต่ก็กลัวว่าตัวเองจะพลิกไปมาจนไปรบกวนการนอนของเจ้าหยวน จึงออกไปนั่งที่ระเบียงทางเดิน พยายามขุดค้นความสามารถนี้เพิ่มเติม

สองมือยกหินก้อนใหญ่มาก้อนหนึ่ง ตั้งสมาธิกำหนดจิตเต็มที่ "ลอยขึ้น ๆ จงลอยขึ้น"

หินก้อนใหญ่ไม่ลอยขึ้น เขาขว้างมันทิ้ง แล้วแทนที่ด้วยก้อนที่เล็กกว่า "ลอยขึ้น จงลอยขึ้น"

หลังจากมองดูอยู่ครู่หนึ่ง หินนี้ก็ไม่ขยับเช่นกัน จึงเปลี่ยนใหม่อีกก้อนหนึ่ง

จากนั้นก็แทนที่ด้วยก้อนที่เล็กกว่าอีกก้อน

ในท้ายที่สุด เขาใช้สองนิ้วบีบทรายจำนวนหนึ่ง ทรายไม่ลอยขึ้น แต่เมื่อเขาบีบแรง ๆ ก็มีเม็ดทรายบางส่วนรั่วไหลออกมา

เขาไม่มีวิธีอื่นแล้ว จึงหยิบใบไม้ที่ร่วงหล่นที่พื้นขึ้นมาวางไว้บนฝ่ามือ ใช้สมองคิดให้ใบไม้เคลื่อนที่ แต่ใบไม้ก็ไม่ลอย เขาโกรธมากจนเป่าใบไม้นั้นด้วยปาก ใบไม้ก็ปลิวออกไป

เขาปัด ๆ มือ กลอกตามองไปทั่วสารทิศ ไม่มีอะไรที่เบาไปกว่าใบไม้แล้ว เขารู้สึกว่าเขาควรยอมละทิ้งทักษะนี้ แล้วไปพยายามสื่อสารกับกวาเอ๋อดูน่าจะดีกว่า เขาเห็นว่าเจ้าหยวนกับลูกๆ ต่างก็ทำได้อย่างง่ายดาย ตัวเขาเองก็คงจะทำได้เหมือนกันล่ะสินะ?

ภายในทางเดินอันเงียบสงบของตำหนักเสี้ยวเยว่ พลันได้ยินเสียงของเจ้าห้าร้องเรียกเบา ๆ ขึ้นมาสองประโยคว่า "กวาเอ๋อ ลูกหลับแล้วหรือยัง?"

“กวาเอ๋อ...”

หลังจากเรียกนางสองครั้ง ก็รู้สึกว่าตอนนี้เป็นเวลาที่ดึกมากแล้ว กวาเอ๋อคงจะนอนหลับไปตั้งนานแล้ว การที่เขาเอาแต่เรียกหานาง มันจะกลายเป็นการทำเสียงดังจนทำให้นางตกใจตื่น จึงรีบหุบปากฉับ

มู่หรูกงกงตื่นแต่เช้า เดิมทีเขาวางแผนว่าจะมาเฝ้ารอให้ฝ่าบาทตื่นบรรทม เพื่อไปรับใช้ก่อนการเข้าประชุมราชสำนักเช้า เพิ่งจะหันหลังกลับ ก็ได้ยินเสียงฝ่าบาทที่นั่งคุกเข่าอยู่ใต้ระเบียง ร้องเรียกชื่อเล่นขององค์หญิง เขาพลันรู้สึกเศร้าใจขึ้นมา เฮ้อ ฝ่าบาทจะทรงคิดถึงองค์หญิงขนาดไหนกันหนอ นับตั้งแต่ที่องค์หญิงเกิดมา ก็อยู่ข้างกายฝ่าบาทได้ไม่นานเลยจริง ๆ

ขนาดเขา บางครั้งที่อยู่คนเดียวเงียบ ๆ ยังคิดถึงแทบแย่ ไม่ต้องพูดถึงฝ่าบาทหรอก

ติดแค่ว่าถ้าปล่อยให้ฝ่าบาททรงเอาแต่คิดถึงต่อไปอย่างนี้ ก็ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา หากคิดถึงมากไปจนประชวรก็ไม่ดี จากนี้คงต้องไปทูลฮองเฮาเสียหน่อยน่าจะดี

หยู่เหวินเห้ากลับไปหยิบก้อนหินมาอีก พยายามกระตุ้นความคิดต่อไป แต่ในท้ายที่สุด เขาก็ไม่พบอะไรเลย แต่กลับทำให้มู่หรูกงกงที่ได้เห็นต้องหลั่งน้ำตา ฝ่าบาททรงประชวรแล้วจริงๆ

เรื่องนี้ควรทำอย่างไรถึงจะดีล่ะนี่?

หลังจากนั้นไม่นาน เจ้าห้าก็ลากร่างกายอันอ้างว้างโดดเดี่ยวกลับไปที่ตำหนัก ไม่ได้ทำเสียงดังรบกวนหยวนชิงหลิง แค่ล้มตัวลงนอนบนเตียงหลัวฮั่น พักสายตาไปชั่วขณะหนึ่ง

ความสามารถในการควบคุมน้ำอะไรนั่น ตัวเขาเองไม่ได้พิสมัยมากมายเป็นพิเศษ แต่เขาพิสมัยความสามารถในการพูดคุยสื่อสารกับลูก ๆ ผ่านช่องว่างของเวลาได้ต่างหาก

หลังจากนี้ต้องเรียนรู้จากเจ้าหยวนให้มากถึงจะดี

หลังจากนอนไปได้ราวครึ่งชั่วยาม ก็ต้องลุกขึ้นมาล้างหน้า แต่งตัว และหวีผม

มู่หรูกงกงเข้ามารับใช้ หยวนชิงหลิงก็ลุกตามขึ้นมาด้วยเช่นกัน โดยพื้นฐานแล้วหลายปีมานี้นางก็คุ้นเคยกับมันพอสมควรแล้ว เจ้าห้าตื่นแต่เช้าเพื่อประชุมราชการ โดยมากนางก็จะลุกตามมาด้วย เว้นเสียแต่ว่ามีวันไหนที่เหนื่อยมาก ๆ ถึงจะไม่ลุก

เจ้าห้าอารมณ์ดีมากทีเดียว ถึงแม้จะได้นอนหลับแค่เพียงไม่นาน แต่พอมู่หรูกงกงมาช่วยสวมชุดมังกรให้เขา เขายังถึงกับผิวปากเลยทีเดียว

กลับกัน เมื่อมู่หรูกงกงเห็นว่าเขาผิวปากก็ขมวดคิ้วนิ่วหน้า กระทั่งสีหน้าก็แลดูโศกเศร้ารันทดอย่างมาก

เมื่อคืนฝ่าบาทยังทรงกริ้วมาก แต่มาวันนี้กลับอารมณ์ดีขนาดนี้ พระองค์จะต้องได้รับความกระทบกระเทือนทางใจมากเกินไปแน่ ๆ

แต่ต่อหน้าฝ่าบาท ย่อมไม่สามารถทูลต่อฮองเฮาได้แน่ ต้องรับใช้ตลอดการประชุมเช้าให้เสร็จก่อน รอจนฝ่าบาทเสด็จไปห้องทรงพระอักษร ถึงจะสามารถพูดได้

ดังนั้น หลังจากดูแลความเรียบร้อย ลู่หยากับฉี่หลอยกอาหารเช้ามาขึ้นโต๊ะ หยู่เหวินเห้าก็กินจนอิ่มหนำ จูบแก้มหยวนชิงหลิงเบา ๆ แล้วเดินนำมู่หรูกงกงไปประชุมเช้าอย่างร่าเริงสดใส

ลักษณะแบบนี้ ทำให้หยวนชิงหลิงนึกถึงตอนที่เขาเพิ่งขึ้นครองบัลลังก์ใหม่ ๆ

ในเวลานั้น เขาเต็มไปด้วยความทะเยอทะยานที่พร้อมจะทำทุกอย่าง ดังนั้นทุก ๆ วันเขาจึงพยายามจะพลิกโลกใบนี้อย่างกระตือรือร้น ราวกับถูกฉีดเลือดไก่เข้าเส้นเลยทีเดียว

ประมาณครึ่งชั่วยามต่อมา แม่นมสี่กับอะซี่ก็มาถึง

เนื่องจากสวีอีจะต้องเดินทางไกล ดังนั้นอะซี่ก็ต้องตื่นแต่เช้า เพิ่งจะส่งสวีอีออกบ้าน ก็ว่างไม่มีอะไรทำ ลูกก็มีคนเลี้ยงให้แล้ว จึงมาคุยเล่นกับหยวนชิงหลิง

“เฮ้อ!” แม่นมสี่ถอนหายใจเฮือก “ อย่างไรก็เป็นสถานที่แบบนั้น มีแต่คนแบบนั้น รายล้อมด้วยบรรยากาศแบบนั้น อยู่ไปนาน ๆ ก็เริ่มซึมซับมา ตอนนี้มีบางครั้งเขาก็หลุดสบถคำหยาบออกมาหลายคำแล้วล่ะ"

“จริงรึ?” อะซี่ประหลาดใจมาก ท่านฉู่รู้จักพูดคำหยาบด้วย?

หยวนชิงหลิงนึกถึงกลุ่มคนในจวนอ๋องซู่ แม้ว่าพวกเขาจะไม่ค่อยให้ความสำคัญกับคำพูดคำจา แต่ก็ให้ความสำคัญกับงานมาก แค่ดูแล้ว เหมือนว่าพวกเขาจะเป็นพวกทำงานหนักเหน็ดเหนื่อยหิวโซมาหลายปีก็เท่านั้น

หลายปีมานี้ หยวนชิงหลิงติดต่อกับคนของจวนอ๋องซู่ค่อนข้างบ่อย ก็พอจะรู้เรื่องราวในอดีตของพวกเขาอยู่พอสมควร แต่พวกอะซี่ไม่ได้รู้ชัดเจนนัก จึงมักจะรู้สึกว่าพวกเขาเป็นกลุ่มคนที่ดูลึกลับ เป็นกลุ่มคนที่สร้างความสับสนงุนงงได้มาก

บรรดาผู้หญิงทั้งหลายพูดคุยหัวเราะ จู่ ๆ แม่นมสี่ก็ถอนหายใจแล้วพูดว่า "ตอนนี้อู๋ซ่างหวงได้แต่ตั้งตารอให้องค์ชายรัชทายาทแต่งงานโดยเร็วที่สุด แต่งงานมีภรรยามีลูก แบบนั้นก็จะมีห้าชั่วอายุคนอยู่ร่วมบ้านเดียวกันได้"

“ยังเร็วไปนะ” อะซี่เงยหน้าขึ้น เอียงหน้าไปมองหยวนชิงหลิง “พี่หยวน เจ้าว่าผู้หญิงแบบไหน ถึงจะคู่ควรกับซาลาเปาหรือ?”

หยวนชิงหลิงพูดว่า "ข้าไม่เคยคิดไว้หรอก จริง ๆ แล้วข้าไม่สามารถพูดได้ว่าเหมาะหรือไม่เหมาะ แค่สองฝ่ายชอบกัน ก็นับว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดแล้วล่ะ"

“จริงรึนั่น? ท่านยังไม่เคยคิดเลยอย่างนั้นรึ?” อะซี่ตกตะลึงไปเล็กน้อย “เขาอายุตั้งเท่านี้แล้ว ท่านไม่เคยคิดเรื่องการแต่งงานของเขาเลยรึ?”

หยวนชิงหลิงหันไปมองเขา “เขาอายุเท่าไหร่กัน? ไม่ใช่ว่ายังเป็นแค่เด็กคนหนึ่งหรอกรึ?”

อายุเลยสิบห้า ก็ไม่ใช่เด็กอีกแล้วเพคะ มีบางคนที่อายุเท่าเขา ก็กลายเป็นพ่อคนแล้วเหมือนกัน

หยวนชิงหลิงพูดด้วยรอยยิ้มว่า "พวกเราทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่า เขาจะรอจนอายุประมาณยี่สิบห้า ถึงจะพิจารณาเรื่องแต่งงาน"

แม่นมสี่เบิกตากว้าง พูดด้วยท่าทีผิดหวังว่า “ยี่สิบห้าเชียวหรือ?สวรรค์ เช่นนั้นอู๋ซ่างหวงต้องพยายามยื้อลมหายใจไว้ให้นานที่สุดแล้ว”

“ อายุยี่สิบห้าก็ใช้ได้อยู่นะ ตอนที่เจ้าห้าแต่งงานก็ไม่ใช่ว่ารอจนอายุยี่สิบสอง แล้วถึงค่อยแต่งหรอกรึ?” หยวนชิงหลิงถาม

“ ใช่เสียที่ไหนกันล่ะเพคะ อายุได้ยี่สิบเอ็ดก็แต่งแล้ว อย่างเขายังนับว่าช้าเกินไปด้วยซ้ำ ว่ากันตามธรรมเนียมปฏิบัติ อายุครบสิบแปดก็ต้องแต่งงานแล้ว”

หยวนชิงหลิงเพิ่งนึกขึ้นมาได้ตอนนี้เองว่า ในตอนที่ตัวเองข้ามเวลามา อันที่จริงเจ้าห้ากับหยวนชิงหลิงเจ้าของร่างเดิมแต่งงานกันมาได้หนึ่งปีแล้ว

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บัลลังก์หมอยาเซียน