ในเมื่อต้องตรวจสอบอย่างเข้มงวดจริงจัง เช่นนั้นก็ต้องเชิญหมอหลวงและขุนนางอีกหลายคนไปด้วยกัน
แต่ในเมื่อเป็นโรคเรื้อน ขุนนางธรรมดาย่อมไม่กล้าไป ต่างมองหน้ากัน ไม่มีใครยินดีจะเสนอหน้า
โสวฝู่ฉู่ยืนออกไป เอ่ยเสียงขรึมว่า “กระหม่อมยินดีจะไปพร้อมหมอหลวงพ่ะย่ะค่ะ ”
ตี๋เว่ยหมิงได้ยินคำนี้ ก็รีบพูดขึ้นว่า “กระหม่อมสองพ่อลูกก็ยินดีจะไปด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
โสวฝู่ฉู่ปกป้องแม่นมสี่กับรัชทายาทมากแค่ไหน นี่เป็นเรื่องชัดเจนที่ใครก็มองเห็น จะให้เขาไปพร้อมหมอหลวงเพียงลำพังได้อย่างไร ตอนนี้เขามีอำนาจแค่อยู่ใต้คนเพียงหนึ่งอยู่เหนือคนนับหมื่น หมอหลวงยังต้องเชื่อฟังเขา แม้จะวินิจฉัยออกมาว่าเป็นโรคเรื้อน เขาก็สามารถสั่งการให้หมอหลวงปิดปากได้
ต่อจากการเสนอตัวของโสวฝู่ฉู่กับแม่ทัพใหญ่ตี๋แล้ว ขุนนางในราชสำนักต่างก็ทยอยกันออกมาขันอาสา เพราะว่า ไปเพียงชั่วครู่มิใช่ว่าต้องไปสัมผัสกับแม่นมสี่ รอผลอยู่ในจวนอ๋องฉู่ก็พอแล้ว อย่างน้อยก็ถือว่าได้ไปทำหน้าที่แล้ว
เช่นนี้เอง เหล่าขุนนางที่สามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับองค์รัชทายาทที่สีหน้ามึนงง ยกขบวนไปยังจวนอ๋องฉู่อย่างเอิกเกริก
ตลอดทาง สีหน้าของหยู่เหวินเห้าแสดงออกอย่างงี่เง่ายิ่งนัก ถามพระมาตุลาตี๋ตลอดว่า “ใครกันแน่ที่บอกว่าแม่นมสี่เป็นโรคเรื้อน นี่มันเป็นการสร้างข่าวลือชัดๆ ถ้าหากแม่นมสี่รู้เข้า คงต้องโมโหมากแน่ๆ ”
พระมาตุลาตี๋ไม่ค่อยสนใจเขา พระมาตุลาตี๋ไม่สนใจ แต่ขุนนางคนอื่นๆก็ไม่อาจปล่อยให้รัชทายาทรู้สึกอับอายได้ จึงได้เข้าไปปลอบใจว่าเรื่องนี้บางทีอาจมีคนตั้งใจปล่อยข่าวลือก็เป็นได้ เพื่อหาเรื่องจวนอ๋องฉู่กับรัชทายาท
เดิมทีแค่คิดจะปลอบใจเฉยๆ แต่เมื่อพูดออกไปแม้แต่โสวฝู่ฉู่ก็พยักหน้าเห็นด้วย “เป็นไปได้สูงว่าเป็นการสร้างข่าวลือเพื่อหาเรื่องจวนอ๋องฉู่ ”
และแล้ว ตลอดการเดินทาง คำพูดนี้ถูกพูดออกไปกว้างขวางในหมู่ขุนนาง ราวกับว่าแม่นมสี่ไม่ได้เป็นโรคเรื้อนจริงๆ แต่มีคนตั้งใจสร้างข่าวลือให้จวนอ๋องฉู่ต้องถูกปิดตายเพื่อกักกันโรค
สองพ่อลูกตี๋เว่ยหมิงได้ยินคำพูดเหล่านี้ ก็ยิ้มเย็นในใจ ถึงเวลาก็รู้เองว่าเป็นข่าวลือหรือไม่ หยู่เหวินเห้านั้นเสแสร้งเก่งจริงๆ แต่เสแสร้งไปจะมีประโยชน์อะไร โรคเรื้อนนั้นร้ายแรงแค่ไหน หัวหน้าโรงหมอหลวงไม่กล้าปิดบังความจริงต่อหน้าขุนนางมากมายเช่นนี้แน่
แต่ว่า ตี๋เว่ยหมิงมองหน้าหยู่เหวินเห้าที่แสร้งทำเป็นไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ในใจรู้สึกไม่ค่อยจะสู้ดีนัก หรือว่า เขารู้ล่วงหน้าแล้วว่าวันนี้ในการประชุมเช้าของราชสำนักจะมีการทูลรายงานเรื่องนี้ ฉะนั้นจึงได้ส่งแม่นมสี่ออกไปจากจวนแล้ว
แต่ว่า ไม่ช้าเขาก็วางใจ เพราะว่า ได้สั่งให้คนไปคอยจับตาดูจวนอ๋องฉู่อยู่ตลอดเวลา ถ้าหากมีการส่งตัวแม่นมสี่ออกไปจริง ตอนนี้คงมีคนมารายงานแล้ว
ใช้ระยะเวลาในการเดินทางเป็นเวลาเกือบครึ่งชั่วยาม ที่สุดก็มาถึงจวนอ๋องฉู่
ทังหยางกับสวีอีเห็นคนมากมายที่มาพร้อมกัน ก็ตกใจไปตามๆกัน รีบเข้าไปต้อนรับขับสู้ทุกท่านให้เข้าไปข้างในทันที
หยู่เหวินเห้าสั่งการว่า “เชิญแม่นมสี่ออกมา ”
ทังหยางลังเลอยู่ชั่วครู่ “แม่นมสี่ เชิญนางมาทำไมพ่ะย่ะค่ะ นางอยู่ในเรือนไม่ยอมออกมาข้างนอก และไม่ยินดีจะพบใครด้วย”
พระมาตุลาตี๋เอ่ยเสียงเรียบว่า “ในเมื่อไม่ยินดีจะออกมา เช่นนั้นพวกเราก็ไปที่เรือนของแม่นมสี่กัน ไม่เป็นไร เพียงแค่เชิญหมอหลวงตรวจวินิจฉัยให้นางเท่านั้น ดูสิว่าตกลงเป็นโรคอะไรกันแน่ ”
ทังหยางรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง “แม่นมสี่ไม่สบายหรือ ไม่สบายตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ”
พระมาตุลามองทังหยางที่แสนเจ้าเล่ห์ เสแสร้ง เสแสร้งต่อไป ประเดี๋ยวหมอหลวงตรวจวินิจฉัยแล้ว ดูสิว่าเจ้าจะเสแสร้งอย่างไร
“นำทางเถอะ ”ตี๋เว่ยหมิงไม่อยากจะพูดให้มากความ พูดเสียงขรึม
หยู่เหวินเห้าพูดว่า “คนมากมายเช่นนี้จะไปเรือนที่ผู้หญิงอาศัยอยู่คงไม่เหมาะ ทังหยาง ไปเชิญแม่นมสี่ออกมา บอกนางว่าอย่าเอาแต่ใจ บอกว่าเป็นบัญชาของเสด็จพ่อก็พอ ”
ทังหยางรับคำแล้วก็ออกไป
มีขุนนางบางคนนั่งไม่ติดที่แล้ว พวกเขาไม่เข้าใจในโรคเรื้อน คิดแต่เพียงว่าสัมผัสหรือใกล้ชิดกับผู้เป็นโรคก็สามารถติดเชื้อได้ ฉะนั้นเมื่อได้ยินว่าแม่นมสี่จะมาที่นี่ ต่างก็อยากจะออกไปรออยู่ข้างนอก
แม่นมสี่ได้ยินคำพูดนี้ ก็รู้สึกมึนงง “ทำไมต้องไปหาเด็กที่ไหนก็ไม่รู้มาปลอมตัวเป็นพระราชนัดดาด้วย พระมาตุลาหมายความว่าอย่างไร ”
พระมาตุลาตี๋ไม่สนใจนาง พูดกับหัวหน้าโรงหมอหลวงและหมอหลวงอีกหลายคนว่า “ท่านทั้งหลายที่ได้รับพระบัญชา ยังไม่รีบทำการตรวจวินิจฉัยแม่นมสี่อีกหรือ”
หยวนชิงหลิงก้าวเท้าเข้ามา พอดีกับที่ได้ยินคำพูดนี้ของพระมาตุลาตี๋ ก็รู้สึกมึนงงเช่นกัน “แม่นมสี่เป็นอะไรหรือ ทำไมต้องตรวจด้วย”
หยู่เหวินเห้านั่งอยู่บนเก้าอี้ เอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “วันนี้ตอนประชุมช่วงเช้า พระมาตุลาตี๋รายงานว่าในจวนอ๋องฉู่มีการปิดบังซ่อนเร้นผู้ป่วยที่เป็นโรคเรื้อนเอาไว้ คนที่เป็นโรคเรื้อนก็คือแม่นมสี่ เสด็จพ่อไม่วางใจ ให้หมอหลวงกับเหล่าขุนนางมาดู”
“โรคประสาท”หยวนชิงหลิงพูด
พระมาตุลาตี๋ถามเสียงเย็นเคร่งขรึม “พระชายารัชทายาทว่าใครไม่สบาย นี่เป็นพระบัญชาของฮ่องเต้ โรคประสาทหมายความว่าอย่างไร เจ้ากำลังด่าทอฮ่องเต้หรือ”
หยวนชิงหลิงมองพระมาตุลาตี๋ พูดว่า “โรคประสาท โรคประสาทหมายถึงสารธรรมชาติในระบบประสาทเกิดภาวะเป็นโรค และสามารถเรียกว่าสติฟั่นเฟือนได้ ถ้าจะพูดให้ฟังง่ายหน่อย ก็คือสมองมีปัญหา แต่ว่า ใต้เท้าท่านนี้อย่าใส่ความ ข้าไม่ได้ว่าฮ่องเต้ หมายถึงคนสร้างข่าวลือต่างหาก คนที่สร้างข่าวลือเคยพบแม่นมสี่หรือ จึงกล้าบอกว่าแม่นมสี่เป็นโรคเรื้อน ไม่เท่ากับเป็นโรคประสาทหรือ”
สีหน้าของพระมาตุลาตี๋ไม่น่าดูขึ้นมาทันที และก็ไม่สามารถยอมรับได้ว่าตนเองเป็นคนกุข่าวลือขึ้นมา ฮึในลำคอหนึ่งเสียง “ใช่หรือไม่ใช่ ให้หมอหลวงตรวจดูก็รู้ ”
ที่จริงพระมาตุลาตี๋มองปัญหาออกแล้ว แต่ว่า เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว คงต้องทำหน้าด้านหน้าทนต่อไป โชคดีที่มีพระบัญชาจากฮ่องเต้
เขามองไปทางตี๋เว่ยหมิงอย่างเป็นกังวลเล็กน้อยแวบหนึ่ง ตี๋เว่ยหมิงกลับมองไปยังหยู่เหวินเห้า ในที่สุดใบหน้าของหยู่เหวินเห้าก็ไม่ได้ดูซื่อบื้องี่เง่าอีกต่อไป กระทั่งมีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นมาบ้างแล้ว
ในใจของเขาหนักอึ้งลง
หยวนชิงหลิงอุ้มซาลาเปาโยนไปให้หยู่เหวินเห้า จากนั้นเชิญแม่นมสี่นั่งลง หัวหน้าหมอหลวงกับหมอหลวงผลัดกันเข้ามาจับชีพจรวินิจฉัยโรค ถามอาการ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บัลลังก์หมอยาเซียน
OMG ไม่คิดว่าจะอ่านจบ 2105 หน้าสุดปัง เรื่องสนุกมาก ดำเนินเรื่องได้น่าติดตาม มีความเรียลจนบางตอนมีน้ำตาซึมตามเพีาะความประทับใจ สนุกมากจริงๆทอยากให้มีภาคลูกไปบ้าง...
กลับมาอ่านอีกครั้ง สนุกจริง...
สนุกมากค่ะ มีต่อไหมคะ...
สองขาของหยู่เหวินเห้าก็คดงอคุกเข่าลงอย่างช่วยไม่ได้ เอ่ยอย่างไม่เต็มใจเลยสักนิดว่า “ลูกยินดียอมรับโทษทัณฑ์ที่เหลือของเสด็จพ่อ ชอบข้อความบทนี้ตลกดีคะพระเอก ตอน 394...
1...
1...
เพิ่งอ่านได้ 2ร้อยกว่าหน้า สนุกน่าติดตามมาก แต่ทั้งเรื่องมี2พันกว่าหน้า ทำไงจะอ่านจบ...
ขอบคุณผู้แต่ง และ novelones มากๆค่ะ ดีที่สุด อ่านรอบที่ 4 แล้วก็ยังสนุกครบรส ❤️...
เรื่องนี้ถือว่าสมบูรณ์มากสนุกต้นถึงจบ อยากให้เป็นซีรี่ย์...
สนุก ตลกดี เนื้อเรื่องชวนติดตามแต่คำผิดเยอะไปหน่อยค่ะ...