กลับถึงเมืองหลวง อะซี่ที่กลับมาก่อนได้แจ้งหยวนชิงหลิง บอกว่าหลังจากที่หยวนหย่งอี้กลับมาก็ย้ายไปแล้ว และอ๋องฉีก็เขียนจดหมายปล่อยภรรยาหนึ่งฉบับตามปรารถนามาก ทั้งสองคนนับว่าเลิกกันแล้ว
อ๋องฉีจะปล่อยมือ นี่ทำให้หยู่เหวินเห้ารู้สึกคาดไม่ถึงเล็กน้อย เขารู้ว่าน้องเจ็ดหวั่นไหวต่อแม่สาวหน้ากลมแล้ว เพียงแค่ตลอดมาตัวเขาเองจัดการไม่กระจ่าง
แม่สาวหน้ากลมจากไปแล้ว น้องเจ็ดจะต้องเสียใจเป็นแน่ จะต้องหาคนดื่มเหล้าระบายความใจในเป็นแน่ และปลอบใจน้องชาย เป็นภาระที่พี่ชายผลักให้คนอื่นไม่ได้
หยู่เหวินเห้าไตร่ตรองครั้งแล้วครั้งเล่า บอกสวีอีว่าถ้าหากอ๋องฉีมาแล้วก็บอกว่าเขาไม่อยู่ในจวน ดื่มเหล้าเป็นความสนุกสนาน แต่ฟังน้องเจ็ดบ่นตลอดไม่หยุด นั่นก็เป็นการทรมาน
แต่ ครั้งนี้อ๋องฉีกลับไม่มา เหม่อลอยทั้งวันไม่ได้ปรากฏตัว นี่ไม่สมกับนิสัยของอ๋องฉีที่ถูกยุงกัดทีเดียวก็รู้สึกว่าฟ้าถล่มดินทลายแล้ว ดังนั้น หยู่เหวินเห้ายังเรียกให้กู้ซือไปดูอีก
กู้ซือก็ไม่ค่อยเต็มใจ ช่วงเวลายามเย็นที่ดีขนาดนี้ กลับบ้านไปกินข้าวพลอดรักอะไรกับฮูหยินที่แต่งงานใหม่ไม่ดีหรือ? ต้องไปยั่วยุผู้ชายที่เป็นหม้ายอีกทั้งอกหักเป็นครั้งที่สองให้ได้
เนื่องจากความสัมพันธ์ในอดีต กู้ซือก็ยังคงไปแล้ว แต่ ไปถึงลานบ้านของจวนของอ๋องฉีรอบหนึ่งแล้วกลับมาบอกหยู่เหวินเห้า “คนยังมีชีวิตอยู่ หัวเราะได้ และพูดจาได้ เหมือนกับไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
หยู่เหวินเห้าไม่เชื่อ “เขาสนอกสนใจแม่สาวหน้ากลม จะไม่เสียใจได้อย่างไรล่ะ?”
“อย่างไรเสียก็เหมือนกับคนที่ไม่ได้มีปัญหาพ่ะย่ะค่ะ” กู้ซือคิดแล้วคิดอีก “แต่ขณะที่ข้าจากไป เหมือนกับว่าเห็นเขาเช็ดตา ไม่รู้ว่าร้องไห้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“ต้องใช่แน่!” หยู่เหวินเห้ากล่าวอย่างมั่นใจ มีเพียงเช่นนี้ ถึงจะสอดคล้องกับนิสัยของเขา
ทั้งสองค่อยๆวางใจ
เรื่องเขาโรคเรื้อน รอช้าไม่ได้สักนาทีเดียวแล้ว
ดังนั้น หยู่เหวินเห้าจึงไปหาโสวฝู่ถึงจวนฉู่เพื่อหารือ
เมื่อโสวฝู่ได้ยินก็คัดค้านทันที กล่าวตำหนิ “พระชายารัชทายาทเป็นมารดาของประเทศในอนาคต เป็นพระมารดาผู้ให้กำเนิดพระราชนัดดา จะขึ้นไปเสี่ยงอันตรายที่เขาโรคเรื้อนได้อย่างไรกันพ่ะย่ะค่ะ?”
ตอนนี้หยู่เหวินเห้ารู้ว่าโสวฝู่เป็นคนที่มีเหตุผล ดังนั้น จึงได้บอกเรื่องที่พวกเขาพบเห็นบนเขาโรคเรื้อนกับเขา หลังจากฟังจบ มองดูโสวฝู่ด้วยความเศร้าโศก “ผู้มีอำนาจ จะปฏิบัติต่อราษฎรด้วยจิตใจที่แตกต่างได้อย่างไร? พวกเขาเป็นเพียงผู้ป่วย ประสบความโชคร้าย ก็ควรจะละทิ้งชีวิตของพวกเขาใช่หรือไม่? สามารถรักษาแม่นมสี่ได้ พวกเขาก็สามารถรักษาได้ แม้ว่าอาการป่วยของพวกเขาจะรุนแรง แต่ยายหยวนบอกว่า เพียงแค่ได้รับการรักษา อย่างน้อยก็ไม่นำพาการแพร่เชื้อโรคอะไรนั่น จึงสามารถใช้ชีวิตอย่างคนปกติได้ และไม่ใช่อยู่บนเขาเฮงซวยนั่น ใช้ชีวิตเหมือนคนก็ไม่ใช่ผีก็ไม่เชิง”
โสวฝู่ฟังจบ ค่อนข้างโกรธ “ทุกๆปีราชสำนักจัดสรรเงินค่าใช้จ่ายจำนวนหนึ่งสำหรับค่ายาอาหารการกินของพวกเขา ทำไมถึงได้ใช้ชีวิตอย่างน่าสังเวชเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ?”
“ไม่ผู้ใดจะเข้าไปข้องเกี่ยวกับคนเหล่านั้น ดังนั้น แม้ว่าจะไม่ให้กระทั่งขนมรังนกที่เน่าบูดแล้วจะอย่างไร? ใครจะรู้ได้? ตอนนี้ยังมีให้กินสักคำ ก็ไม่ได้นับว่าดีแล้วหรือ? ล้วนตายอยู่ด้านบนหมดจึงนับว่าดี อย่างน้อย คนส่วนมากก็คิดเช่นนี้” หยู่เหวินเห้ากล่าวอย่างเย็นชา
โสวฝู่ไม่พูดจาแล้ว ความจริงคือ โรคเรื้อนแพร่เชื้อได้ การดำรงอยู่ของเขาโรคเรื้อนก็ทำให้คนรู้สึกไม่สบายใจอยู่แล้ว คนด้านบนตายหมดแล้ว ถึงนับว่าเป็นการตัดปัญหาในอนาคต
เขาก็เคยคิดเช่นนี้มาก่อน
แต่ว่า หลังจากตั้งแต่ที่แม่นมสี่เป็นโรคนี้แล้ว เขาจึงค่อยๆเกิดความเห็นอกเห็นใจ ตอนนี้ได้ฟังคำพูดของหยู่เหวินเห้า เขามีความหวั่นไหวเล็กน้อย กล่าว “องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ เรื่องการรักษา ผ่อนไปก่อนสองสามวันค่อยพูด กลับเป็นเรื่องอาหารบนเขา จะต้องเปลี่ยนให้ดีขึ้น เรื่องนี้ก็มอบหมายให้กรมการพระนครทำ จับเอาสุนัขผู้หิวโหยเหล่านั้นที่แคะอาหารจากปากผู้ป่วยมากินออกมาจัดการอย่างรุนแรงเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
หยู่เหวินเห้ากล่าว “เรื่องนี้จำเป็นต้องจัดการทันที แต่ว่า เรื่องการรักษาก็ไม่สามารถชักช้าได้สักนาที โสวฝู่ ว่าการราชสำนักตอนเช้าครั้งหน้า ข้าจะเสนอความคิดเห็นในท้องพระโรง”
โสวฝู่กดมือไว้ “รัชทายาทอย่าได้รีบร้อน ข้าน้อยจะเสนอต่อฮ่องเต้เล็กน้อยขณะที่รายงานข้อราชการ ทั้งดูความประสงค์ของฮ่องเต้แล้วค่อยพูดพ่ะย่ะค่ะ”
หยู่เหวินเห้ากล่าว “เช่นนั้นก็ได้ โสวฝู่พูดก่อน เพียงแค่ ความคิดเห็นของข้ากับยายหยวนครั้งนี้คือเช่นนี้ ไม่ว่าเสด็จพ่อจะเห็นด้วยหรือไม่ คนป่วยเหล่านี้ต้องรักษาเป็นแน่”
ไม่ผิด ตั้งแต่เล็กๆเขาก็ไม่ใช่เด็กที่จะเชื่อฟัง เขารู้เรื่อง แต่ไม่เชื่อฟัง มีความคิดเห็นของตัวเอง อีกทั้งกำหนดชัดเจนแล้วก็จำต้องไปทำอย่างแน่นอน
“ลูกไม่รักดี!” ฮ่องเต้หมิงหยวนกล่าวอย่างโกรธเคือง
โสวฝู่ยิ้มแล้ว “ฝ่าบาท นี่เป็นเรื่องที่ดี เป่ยถังไม่ต้องการมกุฎราชกุมารที่หูเบาพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หมิงหยวนชำเลืองมองโสวฝู่แวบหนึ่ง “ข้าพบว่าตอนนี้เจ้ายิ่งช่วยเขามากขึ้นเรื่อยๆแล้ว”
โสวฝู่ผายมือออก “มีทางไหนล่ะพ่ะย่ะค่ะ? สิ่งสำคัญของชีวิตอยู่ในจวนของคนอื่นเขาน่ะพ่ะย่ะค่ะ”
“อายุปูนนี้แล้ว อายไม่อาย?” ฮ่องเต้หมิงหยวนกลั้นหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ รู้สึกว่านิสัยของโสวฝู่แตกต่างกับแต่ก่อนเป็นอย่างมาก ก่อนหน้านี้จริงจังมาก ตอนนี้ไม่มียางอายเป็นอย่างมากแล้ว
“เป็นสัจธรรมความถูกต้องเปลี่ยนแปลงไม่ได้ มีอะไรน่าอายพ่ะย่ะค่ะ” โสวฝู่ฉู่กล่าว
ระหว่างฮ่องเต้และขุนนาง คุยล้อสนุกสนานไม่กี่ประโยค บรรยากาศคลี่คลายแล้ว แต่ว่า คิ้วของฮ่องเต้หมิงหยวนไม่ได้คลายออก เรื่องโรคเรื้อนเป็นปัญหาสำคัญในจิตใจของเขาตั้งแต่เริ่มจนจบ มักจะรู้สึกว่าในอนาคตจะต้องระบาดอย่างฉับพลันอยู่เสมอ จนกระทั่งรุนแรงมากกว่าเมื่อห้าปีก่อน
“เจ้าห้าพูดกับเจ้าจริงๆหรือว่าพระชายารัชทายาทมีวิธีการรักษาโรคร้ายได้?” เขากล่าวถาม
“พูดเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ” โสวฝู่พยักหน้า เป็นธรรมดาที่จะไม่เอ่ยถึงอาการป่วยของแม่นมสี่
ฮ่องเต้หมิงหยวนครุ่นคิดครู่หนึ่ง กล่าว “พระชายารัชทายาทมีฝีมืออยู่บ้าง แต่หากบอกว่าสามารถรักษาโรคร้ายได้ ข้าไม่เชื่อ กลัวว่าทั้งสองจะใจร้อนอยากเห็นผลสำเร็จและผลประโยชน์ คิดต้องการสร้างคุณงามความดี เรื่องนี้เห็นด้วยไม่ได้ จำเป็นต้องหยุดยั้งการเสนอข้อคิดเห็นของเขาในราชสำนัก โรคเรื้อนไม่สามารถกลับมาอยู่ในสายตาของทุกคนได้อีก”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บัลลังก์หมอยาเซียน
OMG ไม่คิดว่าจะอ่านจบ 2105 หน้าสุดปัง เรื่องสนุกมาก ดำเนินเรื่องได้น่าติดตาม มีความเรียลจนบางตอนมีน้ำตาซึมตามเพีาะความประทับใจ สนุกมากจริงๆทอยากให้มีภาคลูกไปบ้าง...
กลับมาอ่านอีกครั้ง สนุกจริง...
สนุกมากค่ะ มีต่อไหมคะ...
สองขาของหยู่เหวินเห้าก็คดงอคุกเข่าลงอย่างช่วยไม่ได้ เอ่ยอย่างไม่เต็มใจเลยสักนิดว่า “ลูกยินดียอมรับโทษทัณฑ์ที่เหลือของเสด็จพ่อ ชอบข้อความบทนี้ตลกดีคะพระเอก ตอน 394...
1...
1...
เพิ่งอ่านได้ 2ร้อยกว่าหน้า สนุกน่าติดตามมาก แต่ทั้งเรื่องมี2พันกว่าหน้า ทำไงจะอ่านจบ...
ขอบคุณผู้แต่ง และ novelones มากๆค่ะ ดีที่สุด อ่านรอบที่ 4 แล้วก็ยังสนุกครบรส ❤️...
เรื่องนี้ถือว่าสมบูรณ์มากสนุกต้นถึงจบ อยากให้เป็นซีรี่ย์...
สนุก ตลกดี เนื้อเรื่องชวนติดตามแต่คำผิดเยอะไปหน่อยค่ะ...