บัณฑิตยอดนักคิดแห่งต้าเย่ นิยาย บท 35

หลิวจื้อเกาหรี่ตา “หลี่ปู้อีกำลังจะลุกขึ้นมีอำนาจในราชสำนักอีกครั้ง”

หลี่ปู้อี หัวหน้าตระกูลหลี่ และพ่อของหลี่ซื่อหาน

ตระกูลหลิวและตระกูลหลี่เป็นสหายกันมานานหลายปี จนกระทั่งตระกูลหลี่ประสบปัญหา

“ท่านพ่อมีสายตาเฉียบแหลม!”

หลิวเจี้ยนเย่พยักหน้า แล้วหัวเราะเบา ๆ “ท่านหัวหน้าได้ส่งจดหมายมาให้ข้าเมื่อไม่นานมานี้ บอกว่าลุงปู้อีเป็นสหายคนสนิท ของเสนาบดีฝ่ายซ้ายของราชวงศ์ ฮ่องเต้ทรงสนับสนุนให้เสนาบดีฝ่ายซ้าย กับเสนาบดีฝ่ายขวา หากมีคนที่มีศักยภาพก็จะเข้าไปแทนที่เขาได้ หากเสนาบดีฝ่ายซ้ายเรืองอำนาจ ลุงปู้อีจะต้องเจริญรุ่งเรืองแน่นอน แล้วหากข้าได้เป็นลูกเขยของตระกูลหลี่ ตระกูลหลิวก็จะทะยานขึ้นอยู่เหนือผู้ใด และกลายเป็นตระกูลที่โด่งดังที่สุดในอำเภอ หรือแม้แต่ในบรรดาตระกูลชนชั้นสูง”

“ข่าวนี้เชื่อถือได้หรือไม่!”

หลิวจื้อเกาเดิน ขณะเอามือไพล่หลัง “หลี่ปู้อีอยู่ในตำแหน่งมาหลายปีแล้ว มีขึ้นมีลง เขาไม่เคยดำรงตำแหน่งได้เกินสามปีเลย คราวนี้เขาจะอยู่ได้นานเพียงใด? หากมีกวาดล้างตระกูลกันอีกครั้ง ตระกูลหลิวจะถูกกำจัดไปด้วย”

หลิวเจี้ยนเย่มีสีหน้าทะเยอทะยาน “ท่านพ่อ ความมั่งคั่งย่อมเกิดขึ้นได้จากความเสี่ยง หากท่านต้องการให้ตระกูลหลิวเป็นผู้นำทั้งในอำเภอนี้ และในบรรดาชนชั้นสูง แล้วจะไม่เสี่ยงเลยได้อย่างไรขอรับ”

หลิวจื้อเกาถอนหายใจ “ตระกูลหลี่ได้รับความหายนะหลายครั้ง และตระกูลหลิวได้กำหนดขอบเขตชัดเจน มิตรภาพระหว่างสมาชิกในตระกูลหมดสิ้นไปนานแล้ว เจ้าต้องใช้กลยุทธ์เพื่อให้ได้ซื่อหานกลับมาก่อนเป็นอันดับแรก เพราะคนตระกูลหลี่ก็รักนาง แล้วจะปฏิเสธเจ้าได้อย่างไร หากจัดการกับเด็กคนนั้น ซื่อหานจะยอมเห็นด้วยหรือไม่ หากนางเต็มใจที่จะกลับมา ตระกูลหลี่คงรับนางกลับไปตั้งนานแล้ว”

“ตอนนั้นนางไม่เต็มใจ แต่ตอนนี้นางคงเปลี่ยนใจแล้ว!”

“เอ๊ะ?”

หลิวเจี้ยนเย่พ่นลมหายใจ “ข้าส่งคนไปสืบเรื่องนี้แล้ว เจ้าเด็กคนนั้นมักจะทำร้ายข่มเหงนางบ่อย ๆ ทำให้นางร้องไห้ตลอดทั้งวัน นางจะไม่อยากหนีจากความทุกข์ยากได้อย่างไร นอกจากนี้ แม้ว่านางจะไม่เต็มใจ แต่หากเจ้าเด็กคนนั้นจากไปแล้ว ข้าก็จะแต่งงานกับนางอีกครั้ง ข้าเคยเป็นคนรักในวัยเด็กของนาง นางย่อมไม่อยากโผเข้าไปในอ้อมแขนคนอื่นหรอกขอรับ”

“เช่นนั้นแหละ!”

หลิวจื้อเกามีสีหน้าเย็นชาและเข้มงวด “เจ้าเป็นถึงบัณฑิตของตระกูลหลิว เจ้าต้องรักษาชื่อเสียงเอาไว้ ต่อไปอย่าได้ทำเรื่องที่แปดเปื้อนมลทินเช่นนี้อีก อย่าได้ทำให้คนในตระกูลต้องขายหน้า”

....

เป็นเวลาสามวันติดต่อกัน ที่ประตูร้านตีเหล็กของตระกูลจ้าวปิดอย่างแน่นหนา ภายในมีเสียงกระแทก เสียงทุบและเสียงบดดังมาจากข้างใน ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

ปัง!

หวังหยวนทุบลูกบอลดินเหนียวลงบนแผ่นหิน!

“หวังหยวน ภายในหนึ่งวัน ข้าใช้สามสิบก้วนเพื่อซื้อตะกั่วดำ ดินเหนียว หินแก้วหนึ่งก้อน ทรายหนึ่งกระสอบ และล่าฉือหนึ่งถัง ท่านพ่อใช้ถ่านหินไปห้าก้อน เจ้าใช้เวลาสองวันในการเผาล่าฉือและหินแก้ว เอ้อหู่ช่วยเจ้าทุบและบดเป็นเวลาสามวัน เขาเหนื่อยจนลิ้นห้อยออกมาแล้ว จากนั้นก็บดวัสดุเหล่านี้ทั้งหมดให้เป็นผง แล้วเจ้าก็ให้พวกเขาลงไปเล่นโคลน เจ้าว่าให้พวกเขาคนสามคน ทำงานหนักถึงสามวันจะคุ้มค่าหรือ เจ้าลูกพี่ลูกน้องจอมฟุ่มเฟือย!”

จ้าวชิงเหอยืนเท้าเอวเล็ก ๆ ของนาง หน้าอกขยับขึ้นลงเพราะหายใจแรง ใบหน้ารูปไข่แดงก่ำ ดวงตากลมโตกำลังมองดูหวังหยวน ที่กำลังลุยอยู่ในโคลนอย่างดุเดือด

ลุงจ้าวต้าโช่ยพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ชิงเหอ เหตุใดเจ้าถึงพูดกับลูกพี่ลูกน้องของเจ้าเช่นนั้น หยวนเอ๋อร์คงมีเหตุผลของตัวเอง ถึงได้ลงไปละเลงโคลนเช่นนี้ อย่ารบกวนเขาเลย!”

นับตั้งแต่หวังหยวนเทดินเหลืองลงในน้ำตาลทรายแดง แล้วได้น้ำตาลทรายขาว เขาก็รู้สึกว่าทุกการกระทำของหลานชายของเขา ต้องมีเหตุผลซ่อนอยู่

เอ้อหู่ที่ทำงานหนักที่สุดในสามวันที่ผ่านมา ก็ให้คำแนะนำเช่นกัน “พี่ชิงเหอ เราต้องเชื่อในตัวพี่หยวน เขาจะต้องแตกต่างจากคนอื่นเป็นแน่ เมื่อเขาลงไปเล่นในโคลนเช่นนี้!”

“แต่งต่างสิ คนอื่นเล่นโคลนไม่ต้องเสียเงิน แต่เขาใช้เงินไปเกือบห้าสิบก้วนแล้ว ไม่รวมค่าวัตถุดิบและแรงงานทั้งหมด!”

จ้าวชิงเหอทำหน้ามุ่ย จนปากเล็ก ๆ ของนางสามารถใช้แขวนกาน้ำชาได้แล้ว

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บัณฑิตยอดนักคิดแห่งต้าเย่