บุบผาร้อยเสน่ห์ นิยาย บท 316

บทที่ 316 ความยึดถือยึดมั่นอันเถรตรง

“เจ้าคิดว่า หู้ปู้เซ่อหลางวางยาพิษใส่ตนเอง หลังจากนั้นก็ยัดเยียดใส่ความเจ้า”ซ่านจินจื๋อกล่าวอย่างมั่นใจ

“แน่นอนอยู่แล้ว มิเช่นนั้นคนที่นิสัยขี้ขลาดอย่างเขา ตอนนี้คงมาคุกเข่าขอร้องท่านให้ช่วยแก้พิษแล้ว” กู้อ้าวเวยยิ้มแย้มพลันเอนกายซบไหล่ของซ่านจินจื๋อ เปิดตำราแพทย์พลางเอ่ยต่อ “ก่อนหน้านี้ข้าเคยแก้พิษให้พวกเขาแล้ว พวกเขามีใบสั่งยาย่อมต้องมองออกว่าต้องพิษประเภทใด การหาหมอเก่งๆสักคนเพื่อเลียนแบบก็ไม่ใช่เรื่องที่เหนือความคาดหมาย”

“พิษของเจ้าสามารถเลียนแบบออกมาได้ด้วย?” ซ่านจินจื๋อผ่อนคลายเล็กน้อย จึงค่อยนำร่างนางเข้ามาโอบ

กู้อ้าวเวยหน้างอพลิกตำราเปิดอ่าน “ข้าเชื่อว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า”

“พยานหลักฐานกับพยานวัตถุล่ะ?” ซ่านจินจื๋อถามนาง

“ย่อมมีแน่นอน”กู้อ้าวเวยยิ้มอ่อน “ข้านำสมุนไพรแก้พิษสักสองสามตัว ใส่ไว้ท้ายใบสั่งยาสักหลายแผ่น พิษที่พวกเขาต้องในยามนี้

จะต้องมาจากใบสั่งยาแก้พิษใบแรกของข้าอย่างแน่นนอน”

“เจ้ามั่นใจถึงเพียงนี้”

“หากท่านต้องยาพิษ แล้วข้าให้ใบสั่งยาถอนพิษไป หลังจากนั้นค่อยให้ใบสั่งยาปรับสภาพ ท่านในตอนหลังยังต้องเก็บใบสั่งยาปรับสภาพร่างกายไว้อีกหรือ?” กู้อ้าวเวยเงยหน้ายิ้มตาหยี

เป็นเรื่องจริง ที่คนมักอุปาทานกันไปก่อน ในเมื่อใบสั่งยาแรกสามารถแก้พิษได้ ใบสั่งยาหลังๆก็คงไม่เหลือบแลอย่างแน่นอน

ตลอดคืนซ่านจินจื๋อส่งคนไปคฤหาสน์หู้ปู้เซ่อหลางเพื่อนำบางอย่างกลับมาให้กู้อ้าวเวยดูว่าเป็นพิษใดกันแน่

กู้อ้าวเวยเดิมทีมาจัดการหู้ปู้เซ่อหลาง ก็เพื่อให้จางเหยียงซานได้รับในสิ่งที่ปรารถนา แต่นี่ก็นับว่าเป็นการช่วยเหลือซ่านจินจื๋อได้อีกทาง

“แต่ว่า บิดาข้าทราบเรื่องกองกำลังทหารของท่านได้อย่างไร กระทั่งยังทราบว่าเป็นในนามแฝงขององค์ชายสี่” กู้อ้าวเวยปิดหนังสือในมือจนส่งเสียงดังพั่บ คว้าสาบเสื้อของซ่านจินจื๋อ “ข้างกายท่านมีผีหรืออยู่หรือ?”

“คนที่น่าสงสัยที่สุด ไม่ใช่เจ้างั้นหรือ?”ซ่านจินจื๋อยึดข้อมือนางไว้ โดยกระทำการอย่างค่อยๆ “เจ้ากลับลงมือก่อนเพื่อได้เปรียบ แต่กลับมาถามข้า”

“ที่ท่านกล่าวนั้นฟังเข้าท่าสักกี่ส่วนเชียว” กู้อ้าวเวยกลับพยักหน้าเห็นด้วย ชั่วเวลานั้นนางลืมไปเสียสนิท ว่านางเป็นบุตรสาวของกู้เฉิง แล้วยังไปจวนเฉิงเสี้ยงด้วย แน่นอนว่าย่อมเป็นผู้ต้องสงสัยมากที่สุด

ซ่านจินจื๋อเห็นท่าทีของนางไม่คล้ายว่ากำลังโป้ปด

““แต่ว่า เจ้าไม่น่าจะทราบเรื่องกองกำลังนอกภาคเหนือตะวันตก”พลันจินจื๋อพลันส่ายหน้าน้อยๆ

กู้อ้าวเวยผงกศีรษะ ตรงจุดนี้นางไม่ทราบจริงๆ

“นอกจากนี้ บิดายังมีเจตนาลากองค์ชายสี่ลงน้ำ เรื่องนี้กลับซับซ้อนมากยิ่งขึ้นแล้ว” กู้อ้าวเวยสลัดหลุดออกจากอ้อมกอดของซ่านจินจื๋อ มือถือตำราเดินก้าวช้าๆเข้าไปในเรือน “องค์ชายสี่ไร้ทั้งพลังและอำนาจ บริวารก็มีเพียงเหยียนจือที่เป็นผู้ช่วย ทำร้ายเขา ก็ไม่ต่างจากที่ทำร้ายบุตรบุญธรรมของตนเอง ในมือบิดาสมควรมีตัวหมากอื่นถึงจะถูก”

ได้ฟังการวิเคราะห์ของกู้อ้าวเวย ซ่านจินจื๋อกลับค่อยๆเอนกายลงบนฟูกอย่างช้าๆ เมื่อได้พูดคุยกับกู้อ้าวเวยกลับสบายอกสบายใจอย่างมาก “บัดนี้เขาได้ละทิ้งลูกทั้งหมดของตนเอง รวมถึงพวกเจ้าสองพี่น้องและกู้เหยียนจือ หากไร้ซึ่งทายาท ยังจะมีตัวหมากอันใดอีก?”

“ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีซะทีเดียว” กู้อ้าวเวยแค่นเสียงเย็น กระดิกนิ้วกับหลังคา

กุ่ยเม่ยโปรยตัวลงมาที่ข้างกาย ทำการคารวะต่อคนทั้งสอง

กู้อ้าวเวยนำถุงเงินของตนส่งให้กับเขา กล่าวเสียงค่อย “นำเงินนี้ไปมอบให้เหล่าแม่นางทิงเฟิงโหลว ให้พวกนางทำการตรวจสอบ ดูว่านางบำเรอที่เคยอาศัยอยู่กับบิดาตอนนี้อยู่ที่ใด แล้วทายาทคนอื่นๆอยู่ที่ใด”

กุ่ยเม่ยหอบเงินจากไป ซ่านจินจื๋อกลับขมวดคิ้วมุ่น “เจ้าสงสัยว่าบิดาเจ้ามีทายาทข้างนอกด้วยสินะ”

“ข้าก็ไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อน แต่ตอนที่ได้ยินผู้คนพูดเรื่องในอดีตของมารดา กลับไม่มีผู้ใดกล่าวถึงแม่เส็กว่าขับไล่อนุเหล่านั้นไปได้อย่างไร ทราบเรื่องที่บิดาเสเพลเจ้าสำราญมากมาย ไม่แน่ว่าอาจมีทายาทจำนวนไม่น้อยที่เลี้ยงดูอย่างลับๆอยู่ด้านนอก”กู้อ้าวเวยผงกศีรษะ

“บิดาเป็นคนทะเยอทะยาน” กู้อ้าวเวยเงยหน้าขึ้นมองแสงดวงอาทิตย์ที่แยงนัยน์ตา พลันส่งเสียงยิ้มเย็น “และคนทะเยอทะยานมักจะมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน”

“ต้องการนำอำนาจทั้งหมดสืบทอดรุ่นสู่รุ่น หรือเพื่อความยึดถือยึดมั่นบางอย่าง” แววตาของซ่านจินจื๋อเย็นเยียบ พลันมองนาง “แต่การที่กู้เฉิงไร้เมตตากับคนสนิทมิตรใกล้ตัว เป็นไปได้ว่าอาจจะเป็นนิสัยอย่างหนึ่ง”

พลันถอนหายใจยืดยาว กู้อ้าวเวยหันศีรษะไปทางที่แสงแดดส่องพร้อมกระดิกนิ้วเรียกปายเสากับพุทรา เพียงเห็นปายเสาเดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า นางกลับหัวเราะร่า “แต่เขาพันคิดหมื่นคำนวณ ก็ไม่เทียบกับบุตรสาวของเขาที่ความคิดอ่านรอบคอบพิถีพิถันเช่นเดียวกัน”

“งั้นเจ้ามีความทะยานอยากอะไรหรือ?” ซ่านจินจื๋อหัวเราะเสียงค่อย

กู้อ้าวเวยนำปายเสามาประคองในอ้อมกอด แล้วนั่งลงบนม้านั่งหิน พูดกลั้วหัวเราะ “ข้าย่อมมีความทะยานอยาก แต่ความทะยานอยากของข้าไม่ต้องการสืบทอดรุ่นสู่รุ่น แค่ตัวข้าเพียงผู้เดียว”

“นี่เป็นความยึดถือยึดมั่นแล้ว”

“เป็นความยึดถือยึดมั่น”ขณะที่กู้อ้าวเวยกล่าว พลันชำเลืองมองไปที่มือเปลือยเปล่าของตน “มือนี้ผ่านชีวิตคนมาเท่าไร ผ่านความตายมาเท่าไร ข้าล้วนไม่จดจำแล้ว นี่ก็เป็นความยึดถือมั่นในชีวิตหม่อมฉัน อยากจะช่วยคนมากอีกสักหน่อย รอจนถึงวันหน้าที่ข้าลงไปนรก จะได้ยืดอกคุยกับยมบาลได้ ว่าข้ากู้อ้าวเวยได้แย่งชิงชีวิตผู้คนท่านมาได้มากมาย”

กล่าวจบ กู้อ้าวเวยพลันหัวเราะกับตนเอง ปายเสาในมือเอียงคอมองนาง ถูกนางลูบศีรษะอยู่สักพักก็ส่งเสียงร้อง มาว มาว วิ่งทะยานไปไม่เห็นเงา

กู้อ้าวเวยกลับกลายเป็นเบิกบานใจ ซ่านจินจื๋อเหม่อลอยอยู่ชั่วขณะ ขณะที่มองเงาแผ่นหลังของนางกลับมีความเคลิบเคลิ้มอยู่เล็กน้อย

“หากสักวันที่ข้าได้กลายเป็นฮ่องเต้....”

“เช่นนั้นขออ๋องจิ้งโปรดอนุญาตให้ข้าออกจากวัง ได้อิสระโลดแล่นที่โลกภายนอกแล้วกัน” กู้อ้าวเวยสอดรับด้วยใบหน้าอันเยือกเย็น ดวงตาทั้งคู่ของนางดุจผืนน้ำที่เจือด้วยรอยแย้มยิ้ม พลันมองเขา “ครองคู่ผัวเดียวเมียเดียวเกรงว่าท่านอ๋องจะไม่สุขสันต์ แต่ตลอดที่อยู่ในจวนอ๋องจิ้งแห่งนี้ ข้าสามารถอยู่เคียงข้างท่านได้เสมอ”

มือที่กำลังประคองจับไว้แน่น ซ่านจินจื๋อเพียงมองนาง “เช่นนั้นหากข้าเป็นท่านอ๋องตลอดชีวิตเล่า”

“ข้ายังคงต้องจากไปในสักวัน แต่อย่างไรก็ตามจะกลับมาหาท่าน”กู้อ้าวเวยเอียงคอ กลับกลายเป็นยิ้มเบิกบานยิ่งกว่า “ท่านก็มีสิ่งที่ท่านต้องการ ข้าก็มีสิ่งที่ข้าต้องการ มิใช่ว่าพวกเรารักกันแล้วต้องอยู่ด้วยกันตลอดเวลานี่ ท่านว่าไง?”

ถ้อยคำเหล่านี้คือความในใจของนาง

ดังที่ชิงต้ายกับฉีหรัวได้กล่าวไว้ หากเวลานี้นางไม่พูดออกมา ถ้อยคำเหล่านี้วันหน้าเกรงว่าจะไม่มีโอกาสได้พูดแล้ว

เพียงแต่ซ่านจินจื๋อดูเหมือนจะโมโห อย่างไรตลอดชีวิตของเขาก็ทำตามอำเภอใจมาโดยตลอด ของที่อยากได้จะไม่ยอมแพ้เด็ดขาด ซูพ่านเอ๋อร์ก็เป็นแบบนี้ กู้อ้าวเวยก็สมควรที่จะเป็นแบบนี้สิ

แต่เพียงแค่มองรอยยิ้มบนใบหน้าของกู้อ้าวเวย จ้องมองดวงตาคู่นั้นที่วนเวียนอยู่ในความนึกคิดตลอดเวลา โทสะภายในอกก็มลายหายไปราวกับควัน เพียงมองนางด้วยความจนใจ “เจ้ากลับไม่อาจเป็นนกขมิ้นได้”

“ท่านก็มิใช้อินทรีที่เหินทะยานได้ตลอดเก้าวันหรอก”กู้อ้าวเวยเบะปากใส่เขา พลันปรายตามองไปทิศทางบานประตู “แต่ยามนี้ พวกเราล้วนถูกกักตัวในจวนอ๋องจิ้ง สมควรคิดหาหนทางออกไปได้แล้ว”

“ใช่ๆ สมควรคิดหาหนทาง” ซ่านจินจื๋อหัวเราะพลางพยักหน้าตอบรับ

กู้อ้าวเวยรินชาให้กับตนเอง ดวงตากลมกลิ้งกรอกไปมา “ราชทูตแห่งเอ่อตานจำเป็นต้องมาเร็วกว่าพยานบุคคล องค์ชายรองกล่าวว่าท่านสมรู้ร่วมคิดกับเอ่อตาน ไม่สู้พลิกแพลงเสียหน่อย พวกเราก็กล่าวว่าองค์ชายรองต่างหากที่สมรู้ร่วมคิดกับประเทศเอ่อตาน”

“แผนซ้อนแผนสินะ” ซ่านจินจื๋อสบตากับกู้อ้าวเวย พลันพยักหน้า

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บุบผาร้อยเสน่ห์