บุบผาร้อยเสน่ห์ นิยาย บท 393

บทที่ 393 โอกาสมาถึงอีกครั้ง

ก้าวเดินของซ่านจินจื๋อค่อยๆ มาจากไกลๆ เด็กรับใช้และแม่นมในห้องก็ออกไปกันหมด เหลือแค่นางคนเดียว

ทำหน้าที่เป็นภรรยาใหม่ นางจำเป็นต้องรอจนเจ้าบ่าวดื่มเหล้าต้อนรับแขกเหรื่อเสร็จแล้ว เดิมทีนางคิดว่าตนเองจะว้าวุ่นใจไปหมด แต่จี้หยกนี้เปรียบเหมือนยารักษาทางใจ ทำให้นางดูสงบลงขึ้นเยอะเลย

เวลาหนึ่งถึงสองชั่วยามราวกับว่าผ่านไปเร็วมาก

รอจนผ้าคลุมหัวถูกเปิดออก บนใบหน้าของกู้อ้าวเวยเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่จืดชืด แต่กลิ่นเหล้าบนตัวของซ่านจินจื๋อกลับไม่ทำให้คนรังเกียจ แต่กลับพกพาความหอมหวนไว้

ดื่มเหล้าแลกเปลี่ยนกันเสร็จ ซ่านจินจื๋อก็ม้วนตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เอามงกุฎหงส์ของกู้อ้าวเวยถอดออก พูดเสียงต่ำว่า “ตอนนี้ยังกลัวอีกไหม”

“ผ้าคลุมมงกุฎหงส์มันช่างหนักเกินไป” กู้อ้าวเวยเอนอิงอยู่ในอ้อมอกของเขา บนแก้มก็ค่อยๆ แดงระเรื่อ

ที่จริง ซ่านจินจื๋อตอนนี้กลับไม่เหมือนกับซ่านจินจื๋อเมื่อก่อน อาจจะเรื่องของตระกูลหยุนไม่ใช่ฝีมือเขาก็เป็นได้

อีกทั้งนางเป็นคนของซ่านจินจื๋อนานแล้ว แม้เพียงวันข้างหน้าจะต้องแยกจากกัน แม้เพียงความอบอุ่นเพียงครึ่งนาทีในตอนนี้ก็ดีมากสุดๆ แล้ว

คิดถึงตรงนี้ กู้อ้าวเวยก็ปล่อยให้ซ่านจินจื๋อได้กระทำต่อนาง

แสงเทียนได้ดับสิ้นหมดแล้ว ในห้องเต็มไปด้วยแสงริบหรี่ แต่วันนี้หัวใจของคนทั้งสองกลับปล่อยวางลง กอดและหลับไปด้วยกัน

วันที่สองตื่นขึ้นมา กู้อ้าวเวยรู้สึกว่าเอวของนางปวดอ่อนแรง ร่างกายก็รู้สึกอ่อนเพลียมาก ซ่านจินจื๋อกลับตื่นมาแต่เช้า มุมดวงตามองนางอย่างเต็มไปด้วยรอยยิ้ม มือที่คล้องเอวของนางไว้ก็ค่อยๆ คล้องให้แน่นขึ้น ค่อยๆ นวดเบาๆ ไปสองสามที “ร่างกายเป็นเช่นไร เมื่อคืนข้าค่อนข้างพอใจ”

กู้อ้าวเวยหน้าแดงอย่างเห็นได้ชัด ลากผ้าห่มมาปิดหน้าปิดตา “ปวดหัวมาก”

“แต่แค่เหล้ามงคลหนึ่งถ้วย เจ้าก็เมาแล้วหรือ” ซ่านจินจื๋อก็มองท่าทางของหญิงตัวน้อยๆ กู้อ้าวเวยอย่างมีความสุข แค่รู้สึกว่าคืนหนึ่งทำไมจึงไม่พอ ทำไมเมื่อก่อนเขาถึงไม่รู้ว่าแต่งงานแล้วช่างเป็นเรื่องดีที่ทำให้จิตใจกระชุ่มกระชวยเช่นนี้

“เจ้าพูดจาลื่นไหลเล่นลิ้นเป็นด้วยหรือ” กู้อ้าวเวยชะโงกหัวออกมา จ้องเขาครู่หนึ่ง

“คนที่ช่างเจรจาก็คือเจ้า คนที่ลื่นไหลเล่นลิ้นก็เป็นข้า ช่างเหมาะสมกันเสียจริง” ซ่านจินจื๋อเปิดใจคุยกับกู้อ้าวเวย

เพียงแค่เมื่อคืนทั้งคืน ซ่านจินจื๋อดุเหมือนว่าจะค้นพบว่าดวงตาที่จริงใจของกู้อ้าวเวยทั้งคู่ บัดนี้เรื่องราวทั้งหมดก็เป็นที่ชัดเจนแล้ว เขาก็จะต้องเว้นช่องว่างกับซูพ่านเอ๋อมานานแล้วเช่นกัน จริงใจกับกู้อ้าวเวยแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งต่างจากเมื่อก่อนมาก

ตอนนั้นกู้อ้าวเวยก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี ได้แค่จับเตียงเอาไว้อยากจะลุกขึ้นมา แต่กลับถูกซ่านจินจื๋อกดลงไป “นอนต่ออีกหน่อยเถอะ นานทีจะได้พักผ่อน”

กู้อ้าวเวยคิดไปมา วันนี้ตื่นขึ้นมาที่จริงก็ไม่มีอะไรให้ทำ ก็เลยเอนลงไปใหม่อีก

เดิมทีคิดว่าน่าจะนอนหลับ แต่ทั้งสองคนเจ้าหนึ่งคำข้าหนึ่งคำ ก็เลยคุยกันขึ้นมา ที่พูดออกมามีแต่คำพูดหวานเลี่ยนทั้งนั้น ตอนที่ลุกขึ้นนั้น แม้แต่ซ่านจินจื๋อที่ชำนาญในสนามรบยังรับไม่ไหว กู้อ้าวเวยก็อดไม่ได้ที่จะหาที่หลบม้วนเข้าไป ได้ลืมเรื่องของตระกูลหยุนเมื่อก่อนจนหมดสิ้นไปอย่างสิ้นเชิง

ถึงตอนที่รับอาหารเช้า กู้จี้เหยาและซูพ่านเอ๋อสองคนดูไปแล้วไม่ได้นอนทั้งคืน

แต่ซ่านจินจื๋อไม่ได้มองทั้งสองคนตั้งแต่แรกเริ่มอยู่แล้ว ทั้งหัวใจและดวงตามีแต่กู้อ้าวเวยเท่านั้น ตักข้าวต้มให้นางหนึ่งชาม “วันนี้ควรจะกินอะไรที่จืดหน่อย”

กู้อ้าวเวยจ้องเขาอย่างร้ายๆ ไปครู่หนึ่ง “พูดอะไรน่ะ”

“รีบกินเถอะ อีกประเดี๋ยวจะต้องไปคารวะเสด็จแม่อีก” ซ่านจินจื๋อก็ทำตัวไม่ถูกเช่นกัน ไม่ง่ายเลยที่ตัวเองจะเรียนรู้ถึงคำพูดรักๆ ใคร่พวกนี้ แต่คิดไม่ถึงว่าคนสองคนจะอึดอัด

ซูพ่านเอ๋อกินไม่ลง รีบวางชามและตะเกียบลงแล้วเดินออกไป กู้จี้เหยากลับกัดฟันรับอาหารเช้าจนเสร็จ

กู้อ้าวเวยรับอาหารเช้าจนเสร็จด้วยตนเอง อีกทั้งยังถูกซ่านจินจื๋อบังคับให้ดื่มน้ำซุปยาแล้วจึงขึ้นนั่งบนรถม้า

รอจนได้สติแล้ว กู้อ้าวเวยถึงจะนึกถึงเรื่องของตระกูลหยุน แต่เมื่อดูรอยยิ้มที่ราบเรียบบนใบหน้าของซ่านจินจื๋อแล้ว นางกลับเปิดปากไม่ออก ได้แค่นั่งเฉยๆ อย่างนั้น

มาถึงในวังของไทเฮา ไทเฮายังประทานสิ่งของให้นางไม่น้อยเลย

กู้อ้าวเวยลุกขึ้นยืน “ไทเฮา ยังไงวันนี้ก็มาแล้ว ข้าจะช่วยตรวจดูชีพจรของท่านหน่อยเพคะ”

“เวยเอ๋อ ทำไมยังเรียกไทเฮาล่ะ” ไทเฮากลับดึงมือนางมา ลูบเบาๆ ครู่หนึ่ง

“ท่านแม่.....” อย่าพูดถึงกู้อ้าวเวยว่าอึดอัดใจขนาดไหน ตอนนั้นก็ได้แค่ก้มหน้าลง มือข้างหนึ่งปัดเป็นเกลียวไปมา

นางไม่ได้เรียกคนว่าแม่มานานมากแล้ว บัดนี้เรียกเสด็จแม่อาจจะไม่ค่อยชินปากสักเท่าไหร่

แต่ไทเฮากลับดีใจมาก ดูให้การตอบรับดีมาก

คนสองสามคนนั้นคุยกันไปสักหน่อย ไทเฮาก็เคาะเข้าที่ซ่านจินจื๋อหนึ่งที บอกว่าให้เขาปฏิบัติต่อตนเองดีๆ กุ้ยมามาที่อยู่ตรงนี้นางออกไปเดินเล่นที่สวนด้านนอก บอกว่าไทเฮามีเวลาว่างเลี้ยงแมวไว้หนึ่งตัว สีขาวหิมะ ถือว่าน่ารักมากทีเดียว

ปายเสาพุทรา (ชื่อแมว) กลับไม่ใกล้ชิดกับนาง แต่แมวขาวที่ชื่อว่าเสี่ยวป๋ายตัวนี้กลับชอบนาง

กู้อ้าวเวยอุ้มนางนั่งอยู่บนม้านั่งหิน หมอหลวงสองสามคนที่มาตรวจอาการก็ประจวบเหมาะพอดีได้คุยกับกู้อ้าวเวย ผ่านไปสักครู่ก็พูดถึงเรื่องโรคระบาดขึ้นมา กลับกลายเป็นการพูดคุยจริงจัง

แต่ในห้อง ไทเฮาไม่อ้อมค้อมกับซ่านจินจื๋อ พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “เจ้าคิดว่าองค์ชายสามเป็นเช่นไรบ้าง”

“องค์ชายสามที่จริงแล้วก็ไม่เลว แต่เรื่องที่เขาคิดจะทำนั้นยิ่งใหญ่เกินไป รากฐานหลายร้อยปีมานี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะพลิกชะตาฟ้า ท่านพี่บัดนี้กวาดล้างไปแล้วห้าตระกูล ก็น่าจะเพียงพอแล้ว” ซ่านจินจื๋อก็หน้าเข้มขึ้นมาทันใด “องค์ชายสามยังเด็กนัก”

“เจ้าก็ยังเด็กอยู่เลย” ไทเฮามองเขาอย่างบอกไม่ถูกอยู่ครู่หนึ่ง “ข้าหวังว่าวันข้างหน้าไม่ว่าใครที่จะเป็นคนขึ้นครองราชย์ต่อ พวกเจ้าล้วนต้องดีต่อกัน นี่ก็เป็นความในใจของเสด็จพี่”

พูดถึงตรงนี้ ในใจของซ่านจินจื๋อรู้สึกไม่สบายใจ ผ่านไปสักครู่จึงพูดอย่างเบาๆ ว่า “เสด็จพี่แต่ไหนแต่ไรมาก็ดูพ่านเอ๋อไม่เข้าตาอยู่แล้ว อีกทั้งก็ไม่ยอมให้ข้าได้รับตำแหน่งมกุฎราชกุมารด้วย แต่ว่าเช่นนี้แล้ว?”

ไทเฮาเงียบขรึมไปครู่หนึ่ง กลับได้แต่พยักหน้า

พูดไปพูดมา หากตอนนั้นไม่มีเรื่องของซูพ่านเอ๋อ วันข้างหน้าจะหาผู้หญิงที่ดีเช่นกู้อ้าวเวยให้กับซ่านจินจื๋อได้เช่นไรกัน ถ้าเช่นนั้นตำแหน่งมกุฎราชกุมาร ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องตกอยู่ในมือของซ่านจินจื๋ออยู่ดี

อีกทั้งยังตรงกับที่ซ่านจินจื๋อพูดด้วย ซ่านเซิ่งหานบัดนี้ยังเด็กนัก ทำเรื่องใดๆ ก็ควรจะมีแรงฮึกเหิม แต่ซ่านจินจื๋อต่อสู้ในสนามรบ รู้จักการรอจังหวะรุก แต่เมื่อเทียบกับองค์ชายสาม กลับไร้ซึ่งอารมณ์อย่างมาก สองคนมีส่วนดีที่ไม่เหมือนกัน ก็ยากที่ไทเฮาจะเลือกได้

“ข้าไม่ยอมปล่อยพ่านเอ๋อไปหรอก” ซ่านจินจื๋อพูดออกมาอย่างเบาๆ แววตากลับมองไปที่ตัวของกู้อ้าวเวยอย่างควบคุมไม่ได้ “อาจารย์ได้ไปสู่สุคติแล้ว พ่านเอ๋อเหลือเพียงแค่ข้า แต่วันข้างหน้าข้าก็ทำให้เวยเอ๋อผิดหวังไม่ได้เป็นอันขาด”

ไทเฮามองซ่านจินจื๋อ คิดอย่างรอบคอบอีกครั้ง แม้ว่าฮ่องเต้อาจจะเบนเข็มไปทางองค์ชายสาม แต่บัดนี้ยังไม่มีราชโองการการแต่งตั้งองค์ชายรัชทายาทลงมา ในความเป็นจริงอาจจะมีความหวังในตัวของซ่านจินจื๋ออยู่บ้าง

“เจ้าคิดเช่นนี้ก็เป็นเรื่องดี” ไทเฮาแสดงสีหน้ายิ้มแย้มออกมา “ฮ่องเต้เพราะว่าเจ็บปวดเรื่องของคนรักเมื่อตอนนั้น ก็เลยมีความคิดที่จะสละราชบัลลังก์ เจ้าก็ควรออกแรงแย่งชิงหน่อย แต่ก็อย่าทำเรื่องที่สกปรกเพื่อให้ได้มาซึ่งตำแหน่งฮ่องเต้ล่ะ”

“ข้าทราบแล้ว” ซ่านจินจื๋อยกมือขึ้นคำนับแสดงความเห็นด้วย

ช่วงเวลานั้นพอดี กู้อ้าวเวยที่อยู่นอกประตูก็มองมาที่ซ่านจินจื๋อเช่นกัน สองคนยิ้มให้แก่กัน

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บุบผาร้อยเสน่ห์