บทที่ 446 ปล่อยวางภาระอันหนักอึ้ง
กลิ่นคาวเลือดลอยฟุ้งมาจากกองหิมะ
จวบจนกระทั่งคนของเจียงเยี่ยนได้พบเข้าว่าลูกเปลวเพลิงเหล่านั้นเป็นเพียงตะกร้าที่ได้ทาไว้ด้วยเชื้อเพลิง กองทัพของอินโจวก็ได้ตามมาทันเป็นเวลานานแล้ว แม้กระทั่งคนแปดพันคนของซ่านจินจื๋อฟากนั้นได้รีบพุ่งกันเข้ามา บดบังเมืองกวนผิงเอาไว้อย่างแน่นหนาจนแมลงวันไม่สามารถเล็ดลอดออกไปได้
กู้อ้าวเวยยังไม่ทันได้ปลีกตัวออกมาจากด้านบนประตูเมือง เพียงแค่มองเห็นสีแดงเพลิงกองใหญ่ตรงนั้นแล้วก็เหม่อลอยไปเล็กน้อย
ซ่านเซิ่งหานที่อยู่บนม้าได้หันหน้ากลับไป ใบหน้าที่อาบไว้ด้วยหยาดโลหิตทำให้เยว่ที่อยู่ด้านหลังเก็บความตื่นเต้นเอาไว้ไม่ได้
ในสงครามครั้งนี้ พวกเขาคือฝ่ายชนะแล้ว!
พลทหารต่างก็ระเบิดเสียงร้องกันด้วยความยินดีออกมากันจนกระหึ่ม ซ่านเซิ่งหานกลับเข้าไปในเมืองอีกครั้ง เลือดที่อยู่บนปืนยาวร่วงลงบนพื้น ครั้งนี้นับว่าเป็นครั้งแรกที่เขาได้อยู่บนสมรภูมิรบอย่างแท้จริง ถึงแม้ว่าในบัดนี้จะปลอดภัยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แต่อารมณ์ที่เต้นระส่ำว้าวุ่นอยู่นั้นกลับไม่มีทางที่จะสงบลงกลับคืนสู่สภาพเดิมได้ หัวใจเต้นระรัวราวกับจะพุ่งออกมาจากกลางอก
เยว่เช็ดคราบเลือดที่อยู่บนดาบให้กับเขา ในตอนนี้กู้อ้าวเวยถึงได้เดินลงมาจากบนประตูเมือง มองอยู่ที่ข้างกายเขาแล้วพูดแสดงความยินดีต่อเขา เหล่าบรรดานายกองผู้ช่วยถึงได้รายล้อมกันเข้ามา แสดงความศิโรราบต่อเขา
กู้อ้าวเวยได้เดินปลีกตัวออกมาจากฝูงชนด้วยความเงียบเชียบ
นางไม่สนใจเลยสักนิดที่ผลงานเหล่านั้นจะถูกยกย่องว่าเป็นของซ่านเซิ่งหาน
แต่ว่าในจังหวะเวลาถัดมา ในตอนที่นางยกมือขึ้นอย่างใจลอยดึงแขนเสื้อของกุ่ยเม่ยเอาไว้ ข้อมือก็ถูกดึงเอายื้อยุดฉุดเอาไว้ กลิ่นของเลือดก็ได้ถาโถมเข้ามา ก่อนที่นางจะทันได้มีสติรู้ตัวเข้า ซ่านจินจื๋อที่คว้านางเอาไว้ก็ได้ตะโกนพูดขึ้นด้วยเสียงดังว่า “ต้องขอชื่นชมแผนการอันลึกล้ำของท่านเสนาธิการศึก!”
ดวงตาอันนับไม่ถ้วนต่างก็พากันจับจ้อง แต่สีหน้าของกู้อ้าวเวยก็นิ่งสงบ “ข้าเพียงแค่รับผิดชอบในการเสนอคำแนะนำ แต่คนที่รบราพุ่งชีวิตอย่างเอาเป็นเอาตายในสมรภูมินั้น คือพระองค์ ฝ่าพระบาท”
โดยที่จงใจขบเน้นถึงฝ่าพระบาทสองคำนั้นอย่างหนัก ๆ แต่ซ่านเซิ่งหานกลับเพียงแค่หัวเราะเสียงดัง ๆ แล้วตบลงบนบ่าของนาง ใบหน้าที่อาบไว้ด้วยเลือดยังประดับไว้ด้วยรอยยิ้มกว้าง คิดไม่ถึงว่าจะทำให้กู้อ้าวเวยรู้สึกว่าเขามีส่วนที่เหมือนกับซ่านจวนฮ่าวอยู่บ้าง
“นี่เป็นผลงานของเจ้า” ซ่านเซิ่งหานกระซิบพูดขึ้น
กู้อ้าวเวยจำต้องรับเอาคำชมนั้นด้วยท่าทีที่ดูฝืน ๆ ในตอนที่กำลังอยู่ในงานเลี้ยงเฉลิมฉลองชัยชนะ กินทั้งเนื้อปลาและสัตว์น้อยใหญ่อยู่นั้น นางหมดหนทางแล้วจริง ๆ ที่จะต้องดื่มสุราเข้าไปด้วยท่าทีราวกับเป็นวีรบุรุษ จึงได้ตามหากุ่ยเม่ยอยู่ในบริเวณค่ายทหาร
ก็เห็น ๆ กันอยู่ว่าตอนแรกก็อยู่ข้าง ๆ นี่นา
เดินวกไปวนมาตามหาอยู่เป็นเวลานาน ถึงได้การชี้แนะนำทางของพลทหารถึงได้มาถึงยังห้องหนึ่ง กุ่ยเม่ยไม่ได้ปิดประตูเอาไว้ กำลังสนทนาอยู่กับคนที่อยู่ตรงขอบเตียง ด้วยความรู้สึกที่อิดหนาระอาใจ “ตรงนี้มันอันตรายมาก อ๋องจงผิงทรงอนุญาตให้เจ้ามาได้อย่างไรกัน ”
กู้อ้าวเวยรู้สึกประหลาดใจ เคาะลงเบา ๆ บนบานประตูทำให้เกิดเสียงขึ้น ก็เห็นกุ่ยเม่ยที่ได้หันหน้ากลับมา นางถึงได้เดินเข้าไป แต่เพียงแวบแรกก็ได้เห็นหยินเชี่ยวที่กำลังสวมไว้ด้วยชุดของบุรุษโดยกอดเอาห่อผ้าเอาไว้ พลันก็รู้สึกตะลึงชะงักงันลงไปเล็กน้อย “นี่เจ้าตามมาได้อย่างไรกัน!”
“ข้าไม่วางใจท่าน คุณหนู!”หยินเชี่ยวรีบพุ่งตัวเข้ามา จับเอาที่ไหล่ของกู้อ้าวเวยไว้โดยไม่ยอมปล่อยมือ “อีกทั้งว่าข้าเองก็ต้องนำความมาบอกพอดี ได้ยินมาว่าแคว้นและเมืองไม่กี่เมืองที่อยู่ใกล้ ๆ นี้ ข้าราชการส่วนท้องถิ่นต่างก็มีปัญหา ต้องการให้องค์ชายสามเสด็จไปตรวจดู”
กุ่ยเม่ยนวดเข้าตรงบริเวณขมับด้วยความปวดหัว เมื่อครู่เขาเพิ่งได้ลงจากประตูเมือง ในตอนที่อยู่ในค่ายทหารก็มองเห็นหยินเชี่ยว ก็ในเมื่อนางเองก็เป็นสตรีตัวเล็ก ๆ มองเห็นเข้าอย่างชัดเจนจริง ๆ
“เมื่อครู่ข้ายังได้ยินว่าคุณหนู ท่านได้ช่วยการศึกในครั้งนี้ให้รบชนะขึ้นได้ คุณหนูนี่ช่างมีความสามารถเป็นที่สุด……” หยินเชี่ยวพูดขึ้นอย่างไม่ได้หยุดไม่ได้หย่อน กู้อ้าวเวยเองก็รู้สึกอิดหนาระอาใจ บัดนี้ในเมื่อนางมาแล้ว ก็จะอนุญาตให้นางไปไหนมาไหนตามอำเภอใจเพียงลำพังไม่ได้ คิดพิจารณาดูแล้ว เอาไว้ข้างตัวเช่นนี้น่าจะดีกว่า
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บุบผาร้อยเสน่ห์
นางเอกเหมือนจะเก่งแต่ก็ยอมให้ผัวทำร้ายร่างกายตลอด...
บางคำแปลแบบ งงๆ อ่านแล้วเหนื่อยเรื่องนี้ พักก่อน...
สรุปแล้วใครคือพระเอก อ๋องจิ้งไม่เหมาะเลย ขอเป็นคนอื่นแทนได้ไหม...