บุบผาร้อยเสน่ห์ นิยาย บท 452

บทที่ 452 ก่อนสงคราม

ซ่านเซิ่งหานเลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้น กู้อ้าวเวยนี่คือกำลังเดิมพันอยู่

ครุ่นคิดอยู่นาน ในที่สุดก็มีนายทหารชั้นประทวนคนหนึ่งตบโต๊ะขึ้นมาเสียงดังสนั่น เสียงพายุฟ้าผ่า “หนอนหนังสืออย่างเจ้าพูดมาเป็นคำพูดของสำนักไหนกัน หรือว่าแผ่นดินของแคว้นชางหลานถูกแคว้นเจียงเยี่ยนกลืนกินไปแล้วจริงๆ ก็เป็นแค่การบุกเมืองมิใช่หรือ ข้าจะบุกเป็นคนแรกเลย”

“ข้าพูดไว้ไม่มีผิด บัดนี้แคว้นชางหลานต่างพากันเอาอ๋องจิ้งเป็นเทพแห่งสงคราม พูดไปพูดมาทหารอย่างพวกเจ้าก็อยู่ภายใต้เงาของอ๋องจิ้ง ไม่มีใครรู้ ข้าก็เชื่อว่าพวกเจ้าจะสามารถบุกโจมตีป้อมมาได้อย่างไรกัน” กู้อ้าวเวยพูดประโยคนี้อย่างเบาๆ แต่สร้างกระแสขึ้นมาอีกครั้ง

หากสองคนข้างกายซ่านเซิ่งหานไม่รั้งนายทหารนั้นไว้ กลัวว่ากำปั้นนั้นจะทุบเอาโต๊ะแตกกระจายได้

ยังมีอีกหลายคนก็ล้วนสีหน้าเป็นสีแดงระเรื่อ ในใจมักจะไม่ได้รับความเป็นธรรม

กู้อ้าวเวยกลับนวดฝ่ามือที่เมื่อครู่ตบจนแดงไปมา พูดต่อว่า “หากพวกท่านไม่สามารถ ข้าก็ยินดีออกหน้าแทนฝ่าบาท ไปเอากำลังพลและม้าพร้อมอ๋องจิ้ง......”

“บัดซบ” นายทหารอีกคนหนึ่งก็เริ่มทนไม่ได้ว่า “หรือว่าแคว้นชางหลานของข้าจะเหลือเพียงอ๋องจิ้งเพียงคนเดียวงั้นหรือ ตอนนั้นหากไม่ใช่ข้าที่ช่วยอ๋องจิ้งปกป้องรักษาเมืองเอาไว้ล่ะก็ เขาก็มีฉายาที่ว่าเทพแห่งสงครามไม่ได้หรอก ความดีความชอบทั้งหลายทำไมถึงเอาใส่ตัวเขาเพียงคนเดียวกัน ตัดสินกันจากอะไรนะ”

“ก็ใช่ ตอนนั้นอ๋องจิ้งยังบอกว่าข้าไม่ใช่คนเหมาะสมที่ฝึกยุทธ์ ให้ข้าออกจากค่ายทหารไปตั้งนานแล้ว แต่บัดนี้ข้าเป็นถึงท่านแม่ทัพแล้ว หรือว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่อ๋องจิ้งทำนี่ถูกหรือ”

นายทหารหลายคนเจ้าคำข้าคำพูดกันขึ้นมา

ซ่านเซิ่งหานกลับไม่ได้ตกใจกับพวกเขาเลย เพราะว่าจริงๆ แล้วเขาหาคนที่จะใช้การได้ได้แล้ว และยังสามารถเชื่อใจได้อีกด้วย ยังมีทหารที่ยืนอยู่เคียงข้างของอ๋องจิ้งในสนามรบ เมื่อก่อนไม่น้อยไม่มากก็ล้วนได้ความเย่อหยิ่งของอ๋องจิ้ง ในใจไม่พอใจ

กู้อ้าวเวยกลับไม่คุ้นเคยอย่างมากต่อสิ่งนี้ อีกทั้งยังพูดต่ออีกว่า “พูดไปพูดมา พวกเจ้าก็ไม่ได้มีชื่อเสียงไปกว่าอ๋องจิ้งเลย ดังนั้นสามารถพูดได้ว่า ตอนนั้นพี่สาวข้าถูกตาต้องใจกับอ๋องจิ้งก็ไม่เลวเสียทีเดียว”

หลายคนกวาดสายตามองมา จากนั้นก็จำได้ว่าจุนซือท่านนี้ยังเป็นน้องชายของอดีตพระชายาจิ้ง นับไปแล้วตอนนี้ก็เป็นน้องชายอย่างชอบธรรมของพระชายาจิ้งกู้จี้เหยา

ความเงียบงันผ่านไปสักพัก กู้อ้าวเวยก็ยิ้มขึ้นมา “เพียงแค่เมื่อครู่ก็แค่กระตุ้นพวกท่านก็แค่นั้น เมื่อก่อนตอนที่ได้เจอกับนายพลของอ๋องจิ้ง พวกเจ้าก็คงจะได้รับการมองอย่างเหยียดหยามไม่น้อย บัดนี้หากสามารถเอาป้อมนั้นกลับมาได้ ชื่อเสียงนายพลนี้ ตำแหน่งเทพแห่งสงคราม ไม่แน่ควรจะต้องเปลี่ยนคนแล้วล่ะ”

“ตบหัวแล้วลูบหลัง คำพูดประโยคนี้ของกู้อ้าวเวยออกไป หลายคนต่างพากันอึ้งไป มีเพียงนายทหารที่เก่าแก่ตะโกนขึ้นมาด่าว่า “คนที่มีการศึกษาคิดไม่ถึงว่าจะกล้าใช้วิธีการที่ต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง อารมณ์ของข้านี่.....”

คนด้านข้างสองคนรีบรั้งเขาเอาไว้ ซ่านเซิ่งหานกลับรีบโบกมือไปมาให้กู้อ้าวเวย ให้นางอย่าอยู่ที่นี่อีกต่อไป เพื่อหลีกเลี่ยงจะถูกคนจัดการเข้า

กู้อ้าวเวยบรรลุถึงเป้าหมายแล้ว อาจจะต้องใช้ลูกเล่นเล็กน้อยให้พวกทหารพวกนี้เชื่อฟัง อีกทั้งถือโอกาสหยิบยกเรื่องที่พวกเขาไม่พอใจต่ออ๋องจิ้งขึ้นมาด้วย เป้าหมายก็ถือว่าบรรลุแล้ว

กลับไปถึงค่ายพักของตนเอง ก็เห็นหยินเชี่ยวกับฉีหรัวกำลังเปิดโน่นหานี่หาอะไรอยู่

“พวกเจ้ายังไม่ขยับตัวกันหรือ ยกของย้ายไปย้ายมาอยู่ตรงนี้ทำอะไรกัน” กู้อ้าวเวยก็โผเข้ามาตามกัน มองไปในลิ้นชัก

พูดไปพูดมาในค่ายพักนี้สิ่งที่เยอะที่สุดคือหนังสือของนาง ในลิ้นชักเยอะที่เยอะที่สุดคือกระดาษ หมึกและพู่กัน แล้วก็ไม่มีอย่างอื่นแล้ว

“เมื่อครู่กุ่ยเม่ยบอกว่าเหมือนกับว่ามีคนอาศัยจังหวะตอนที่เจ้าออกไปมาที่นี่ เขาไปช่วยพวกเราเก็บกวาดสัมภาระ ให้พวกเรามาหาว่าตกหล่นอะไรหรือไม่” ฉีหรัวพูด ยังเอารายการแผ่นหนึ่งที่กุ่ยเม่ยให้ตนเองหยิบออกมา

กู้อ้าวเวยยังไม่รู้ว่ากุ่ยเม่ยทำรายการสิ่งของที่อยู่ในห้องให้ตัวเองจริงๆ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บุบผาร้อยเสน่ห์