บุบผาร้อยเสน่ห์ นิยาย บท 481

สรุปบท บทที่ 481 ท่านแม่เดือดดาล: บุบผาร้อยเสน่ห์

สรุปเนื้อหา บทที่ 481 ท่านแม่เดือดดาล – บุบผาร้อยเสน่ห์ โดย ลิ่วเยว่

บท บทที่ 481 ท่านแม่เดือดดาล ของ บุบผาร้อยเสน่ห์ ในหมวดนิยายโรแมนซ์ เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย ลิ่วเยว่ อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

บทที่ 481 ท่านแม่เดือดดาล

“แม่นาง วันนี้มีพ่อครัวใหญ่มาจากชางหลาน เกี๊ยวที่ทำเป็นผลงานชิ้นเอกเชียวนะ”

อาหารยกมาวาง เด็กรับใช้เสี่ยวเอ้อร์คนนั้นประชิดเข้ามาด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจ

“เอาล่ะ เอาแบบเผ็ดเปรี้ยว” กู้อ้าวเวยมองดูอาหารโอชะโต๊ะนี้ แต่กลับปริปากเอ่ยคำ

ฉูหลี่เคยพบเห็นความอยากอาหารของกู้อ้าวเวย จะว่าไปแล้วก็ไม่ถือว่าน้อยเลย ซ้ำยังกินเร็วอีก เดิมเขายังคิดว่าสถานะของบิดาจะกระตุ้นให้นางทานข้าวช้าลง หลายวันมานี้กลับขันชะเนาะคืนมาไม่ได้เลยสักนิดเดียว ในทางกลับกันยังถูกนางคีบอาหารมาให้บ่อยครั้งเล่นเอาผงะ

ก็แม้แต่เมื่อวานตอนที่หารืออยู่กับฉูห้าวในห้องหนังสือ ยังถูกเจ้าหลานชายตาแป๋วจิตใจดำชี้แนะให้อย่างดีหนึ่งฉาด วันนี้ออกมา วันนี้ที่ออกมา ดูจากลุกปัดแก้วเส้นนี้แล้ว กลับคงทำได้เพียงเอาเงินให้เท่านั้นแล้ว

ผ่านไปสักพัก เด็กรับใช้เสี่ยวเอ้อร์ยกเกี๊ยวสองชามวิ่งเหยาะ ๆ ขึ้นมา ในถาดยังมีถุงหองวางอยู่หนึ่งอัน

วางข้าวของลง เด็กรับใช้เสี่ยวเอ้อร์เช็ดมือและวางถุงเครื่องหอมนั่นยื่นให้ต่อหน้ากู้อ้าวเวย “ด้านล่างมีแขกท่านหนึ่งให้ข้านำของสิ่งนี้มามอบให้ท่าน บอกให้ลองถามดูว่า วันนี้สะดวกขึ้นมาพบหน้าพูดคุยกันสักหนหรือไม่”

กลิ่นหอมในถุงเครื่องหอมนั้นช่างแสนคุ้นเคยยิ่งนัก นางเหลือบมองฉูหลี่ปราดหนึ่ง ก่อนเอ่ยเสียงแผ่ว “ท่านสามารถรับปากข้าว่าอีกประเดี๋ยวได้ยินอะไรเข้าท่านก็จะไม่ส่งเสียงหรือไม่”

“ได้สิ” ฉูหลี่พยักหน้ารับปาก

“ให้พวกเขาขึ้นมาเถิด และเอาชามตะเกียบมาเพิ่มอีกหน่อยด้วย” กู้อ้าวเวยยิ้มพลางนำถุงหอมชิ้นนั้นส่งกลับคืนใส่มือของเด็กรับใช้เสี่ยวเอ้อร์ “ถุงหอมนี้เป็นของชางหลาน หากเจ้าชอบละก็ เช่นนั้นจงนำไปมอบให้กับคนในดวงใจเถิด”

เด็กรับใช้เสี่ยวเอ้อร์วิ่งลงไปข้างล่างด้วยความปลื้มปีติ

แต่ไม่นานนัก ก็มีสองคนเดินขึ้นมา หยินเชี่ยวนั้นไม่พูดพร่ำทำเพลงก็โถมเข้ามาเสียแล้ว ฉีหรัวที่อยู่ด้านหลังกลับยับยั้งไว้ ทำเพียงชำเลืองมองฉูหลี่หนึ่งที รู้แต่ว่าคนผู้นี้มั่งคั่งน่าเชื่อถือ จึงหย่อนตัวนั่งลงอย่างใจเย็น กล่าวอย่างจนปัญญา “ท่านช่างรู้จักเอื้อเฟื้อจริง ๆ ก็แม้แต่ถุงเครื่องหอมของข้ายังเอาให้คนอื่นเลย”

“ถุงหอมชิ้นนั้นไม่ใช่ของที่เจ้าพกติดตัวเสียหน่อย เอาให้ไปก็ไม่ได้เจ็บปวดรวดร้าวนักหรอก มันช่วยประให้ให้เด็กรับใช้เสี่ยวเอ้อร์คนนั้นไม่มีแก่ใจมีแนบหูฟังข้างกำแพง” กู้อ้าวเวยลูบกระหม่อมของหยินเชี่ยว ก่อนพยุงนางไปนั่งลงบนตำแหน่งด้านข้างอย่างประคบประหงม “อายุมากแล้ว ถูกฉีหลินตามใจจนเคยตัวไปแล้วสินะ”

หยินเชี่ยวนั่งลงอย่างว่าง่าย เวลานี้ถึงเพิ่งมองเห็นผู้ชายที่นั่งฝั่งตรงข้ามของกู้อ้าวเวย ถูกสายตาคมกริบคู่นี้กรีดแทงจนต้องหดตัวลงไป ก่อนถาม “คุณหนู ท่านผู้นี้คือ...”

“สหายท่านหนึ่ง” กู้อ้าวเวยกระแอมไอเบา ๆ หลายที ลอบชำเลืองฉูหลี่ปราดหนึ่ง เห็นเขาไม่ได้โกรธ คราวนี้จึงกล่าวต่อไปอย่างกล้าหาญชาญชัย “จะว่าไปเหตุใดพวกเจ้าถึงมา อ๋องจงผิงว่าอย่างไรแล้วหรือ”

“ย่อมต้องเกี่ยวพันกับเขาอย่างแน่นอน พวกเราเข้ามาในคราวนี้ก็เพื่อจะนำข่าวคราวมาแจ้งให้ท่านสักหน่อย และจะพักอยู่ที่นี่ติดต่อกันสักระยะ ทางฝั่งชางหลานนั้นอาจจะค่อนข้างอลหม่านไปหน่อย” ฉีหรัวรอจนเด็กรับใช้เสี่ยวเอ้อร์นำชามตะเกียบขึ้นมาให้ หลังจากที่เขาออกไปโดยสมบูรณ์แล้วจึงเริ่มอ้าปาก

เดิมทีเมืองชี่ถูกล้อมโจมตีในตอนแรก องค์ชายสามจับกุมสองนายพลเจียงเยี่ยน ทว่าตอนที่เรื่องดังกล่าวแพร่สะพัดไปที่เทียนเหยียน ฮ่องเต้ต้วนโฉงกลับยกคุณงามความดีทั้งหมดใส่ตัวอ๋องจงผิง องค์ชายสามยังไม่ทันตอบสนองกลับมาด้วยซ้ำ อ๋องจงผิงก็นำคนไปเก็บกวาดเบื้องบนเบื้องล่างในเมืองชี่รอบหนึ่งแล้ว ส่วนเมิ่งซู่ก็ยืนอยู่ฝั่งอ๋องจงผิง

“เด็กโง่ ถ้าหากจะฆ่าพวกเขาจริง ๆ ก็สามารถมาซึ่ง ๆ หน้าได้เลย แต่สถานการณ์ในปัจจุบัน ซ่านจินจื๋อต้องการเป็น อ๋องที่ทำตามสบายใจ ส่วนพี่น้องตระกูลจูรู้จักซูพ่านเอ๋อมาตั้งแต่เด็ก มีเพียงฮ่องเต้จะจัดการขวากหนามข้างกายซ่านจินจื๋ออย่างซูพ่านเอ๋อออกไปเท่านั้น อ๋องที่ทำตามสบายใจนี้จึงจะสามารถมีอิสรเสรีได้” กู้อ้าวเวยหัวเราะเบา ๆ ขึ้นมา ท้องนิ้วลากไล้ขอบแก้ว “ส่วนอ๋องจงผิงก็เป็นเพียงแค่เครื่องถ่วงดุลองค์ชายสามในปัจจุบันเท่านั้นเอง อีกแง่หนึ่ง สิ่งที่คนในฐานะบิดาอย่างเขาควรจะทำก็คือเริ่มต้นฝึกปรือองค์ชายสาม อ๋องจงผิงนี้เป็นเพียงแค่ก้าวแรกเท่านั้น”

ฉีหรัวบีบแก้วเอาไว้ ย้อนกลับมาคิดอย่างถี่ถ้วนแต่กลับไม่เข้าใจเลย จึงเอ่ยถามอย่างร้อนรน “จะบอกอะไรหรือ”

“ขุนนางบู๊บุ๋นจึงจะต้องสร้างคุณงามความดี แต่หากจะนั่งบัลลังก์ฮ่องเต้ละก็ จะต้องมีบุคลิกมั่นคง แต่องค์ชายสามเพียงแค่นิ่งขรึมเท่านั้น ตามกระแสลมกระแสน้ำในปัจจุบัน เขาในฐานะกษัตริย์ย่อมต้องลับคมและเอาชนะมัน พอดีมอบคุณความดีนี้ให้อ๋องจงผิง วันหน้าก็จะสามารถปูเส้นทางให้อ๋องจงผิงได้ ถือว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเลยทีเดียว” กู้อ้าวเวยกล่าวถึงตรงนี้ ทำเพียงถือชามมากินไปพลางพูดไปพลาง “ดังนั้นเรื่องราวพวกนี้ก็มอบให้ฮ่องเต้ทรงจัดการเอง สิ่งสำคัญยังคงเป็นการทำให้ชายแดนนี้เกิดเสถียรภาพ”

นับว่าฉีหรีวฟังเข้าใจแล้ว ทำเพียงลอบบ่นว่าเรื่องราวในราชวงศ์นี้ช่างพัลวันนัก

ส่วนหยินเชี่ยวรับฟังจนหน้ามือตาลาย รู้เพียงแต่ฉูหลี่ผู้นี้ไม่ใช่คนนอก บัดนั้นจึงปริปาก “ใช่แล้ว ฮูหยินเข้ามาด้วยตัวเองเป็นที่เรียบร้อย อีกเพียงไม่กี่วันก็น่าจะถึงแล้ว”

“แค่ก ๆ ๆ...” กู้อ้าวเวยสำลักเต็มแรงหลายหน เบิกตากว้างจ้องนางเขม็ง “มาด้วยตัวเองได้อย่างไรกัน นี่ข้า...”

“ฮูหยินพูดเองว่าบนโลกนี้ไม่มีใครดูแลท่านได้ อย่าคิดว่าท่านเขี่ยกุ่ยเม่ยออกจากข้างกายแล้วจะไม่มีใครคอยดูท่านอยู่เชียว วันหน้านางก็จะคอยติดตามเบื้องหลังท่านทุกวี่วัน ขอเพียงทำเรื่องเสี่ยงอันตรายใด ๆ ก็จะพากลับไปสั่งสอนให้ดีสักตั้งโดยไม่มีข้อยกเว้น” หยินเชียวยังทำท่าทางกลัวแล้ว ๆ หนึ่งทีอีกด้วย

กู้อ้าวเวยเหลือบมองสายตานิ่งขรึมของฉูหลี่ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ในใจพลันบ่นกระปอดกระแปดหนึ่งที

จบแล้ว

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บุบผาร้อยเสน่ห์