6 : ฮูหยินเป็นคุณชายน้อยเจ้าค่ะ
จงกุ้ยเดิมทีเคยทำงาน ตำแหน่งพ่อบ้านใหญ่มาก่อน ส่วนหลูเพ่ยเคยเป็นแม่นมภรรยาเอกของเจ้านาย ดังนั้นเรื่องการดูแลสตรีตั้งครรภ์จึงไม่ใช่เรื่องยาก
หลี่เมิ่งเหยาเคยถามถึงลูก ๆ ของทั้งคู่ จึงได้คำตอบว่ามีบุตรสาวเพียงหนึ่งคน แต่งงานออกเรือนไปอยู่กับสามี ที่เมืองติดชายทะเล
ยามอยู่ในเรือนพ่อค้าทาส พวกเขาไม่กล้าเขียนจดหมายไปบอกบุตรสาว เพราะเกรงว่านางจะเป็นห่วง ยามนี้มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งแล้ว จึงสามารถเขียนจดหมาย ไปเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้นางรับรู้ได้
หลี่เมิ่งเหยารู้ว่าจงกุ้ยมีวรยุทธ์ จึงให้เขาชี้แนะเรื่องที่นางไม่ค่อยเข้าใจ ในตำราของเรือนโลกันตร์ ซึ่งเขาก็ช่วยเหลือนางได้เป็นอย่างดี
เฉาซูหลิ่งหอบท้องโตในช่วงแปดเดือน ออกมานั่งมองบุตรสาวฝึกฝนวิชาศิลปะการต่อสู้ ใบหน้าของนางไม่ค่อยพึงพอใจเท่าใดนัก
“ข้าอยากให้นางเก็บเนื้อเก็บตัว เป็นคุณหนูอยู่ในเรือนเหมือนผู้อื่น ท่านดูสินางทำเป็นที่ไหนกัน”
ป้าหลูได้ยินแล้วยิ้มบาง ๆ บนหน้า การได้มาดูแลสองแม่ลูกคู่นี้ นับว่าเป็นบุญวาสนาของนางแล้ว
“ฮูหยินเจ้าคะ ข้าได้ยินคุณหนูเอ่ยว่านางอยากเก่ง วันข้างหน้าจะได้ปกป้องฮูหยิน กับน้องที่กำลังจะเกิดมาได้เจ้าค่ะ”
“นางเอ่ยเช่นนั้นรึ”
เฉาซูหลิ่งคาดไม่ถึงในเรื่องนี้ เดิมทีคิดว่าการมาอยู่ที่นี่ จะลำบากจนทนไม่ได้ แต่ตรงกันข้ามบุตรสาวของนาง สามารถใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ อีกทั้งยังแข็งแกร่งขึ้น จนมารดาอย่างนางต้องละอายใจ
“เจ้าค่ะ ท่านอย่าห่วงไปเลย สามีข้าก่อนหน้าเป็นพ่อบ้านก็จริง แต่อดีตเขาเคยเป็นหัวหน้าโรงฝึกมาก่อน สามารถสั่งสอนคุณหนูได้ นับว่าเป็นความโชคดีของเขาแล้ว”
“ข้าเองก็ต้องขอบคุณป้าหลูมาก หากไม่มีท่านคอยดูแลข้ากับเหยาเอ๋อร์ ป่านนี้ไม่รู้เราสองแม่ลูก สามารถใช้ชีวิตได้เรียบง่ายเช่นนี้หรือไม่”
เฉาซูหลิ่งหันไปมองอีกฝ่ายด้วยสายตาอ่อนโยน ได้สองคนนี้มาอยู่ในเรือน ช่วยเบาแรงพวกนางสองแม่ลูกไปไม่น้อย
“เป็นโชคชะตาและวาสนา ของข้ากับสามีมากกว่าเจ้าค่ะ” หากวันนั้นหลี่เมิ่งเหยาไม่เดินไปชี้ตัวเขาสองคน ชีวิตคงได้แต่นั่งมองผู้อื่น ถูกซื้อออกไปในแต่ละวัน ไหนเลยจะมาถึงคราวของพวกเขา
ด้านลานการฝึกฝน ลุงจงนิ่วหน้าอย่างแปลกใจ หลังเห็นว่าหลี่เมิ่งเหยา มีพลังลมปราณที่แปลกประหลาด เขาไม่เคยเห็นจากที่ไหนมาก่อน
“คุณหนูขอรับ ท่านไปฝึกพลังลมปราณเหล่านี้มาจากไหนหรือ”
“ข้าฝึกในความฝัน”
“อะไรนะขอรับ”
“ความฝันไงเล่าลุงจง”
หลี่เมิ่งเหยาลอบสังเกตสีหน้าปั้นยากของเขา ก่อนหัวเราะออกมาเบา ๆ “ล้อเล่นเจ้าค่ะ ข้าฝึกตามตำรา ที่พบเจอมาก่อน ทำไมหรือ ไม่ดีหรืออย่างไร”
“ไม่ใช่ขอรับ แต่พลังลมปราณแบบนี้ คนส่วนใหญ่ต้องฝึกฝนกัน นับสิบปีเลยนะขอรับ”
โอ๊ะโอ ข้าฝึกเดือนสองเดือน ก็หมุนเวียนพลังได้แล้ว
“ข้ามีแต่พลังลมปราณนี่แหละที่ฝึกฝนได้ดี แต่ฝีมือการต่อสู้ยังอ่อนด้อยนัก ต้องอาศัยลุงจงช่วยสั่งสอนให้อีกเยอะเลย”
นี่เป็นความจริงที่นางต้องการครูสอนวรยุทธ์ ก่อนหน้านางออกหมัดในความฝัน ยังกะต่อยลมต่อยฝนก็ไม่ปาน พอได้ลุงจงช่วยสอนท่วงท่าที่ถูกต้องให้ ฝีมือของนางรุดหน้าอย่างรวดเร็ว
“คุณหนูอายุยังน้อย ค่อย ๆ ฝึกไปขอรับ”
“อืม”
หลังรู้ว่าลุงจงเคยเป็นพ่อบ้าน ดูแลกิจการของตระกูลเจ้านายมาก่อน หลี่เมิ่งเหยาจึงมอบหมายให้เขา ออกไปมองหากิจการร้านค้าในเมืองฉาง ให้เลือกมาสักร้านสองร้านลองทำดูก่อน
ลุงจงได้ยินก็ตกใจ “เกรงว่าคุณหนูจะไม่รู้ ทำร้านค้าต้องมีเงินสำรองอยู่ไม่น้อย”
“ข้ารู้แล้ว ข้ามีสำรองไว้อยู่ อ้อ ท่านอย่าไปบอกท่านแม่ล่ะ นางไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้ เอาไว้กิจการไปได้ดีข้าค่อยบอกนางเอง”
“ได้ขอรับคุณหนู” ลุงจงตอบรับแบบไม่ค่อยมั่นใจเท่าไร คุณหนูของเขาจะมีเงินมากมาย พอทำกิจการค้าขายได้จริงหรือ
แต่พอถึงเวลาเข้าจริง ๆ ร้านค้าที่ลุงจงแนะนำมานั้น หลี่เมิ่งเหยาไม่พอใจเลยสักร้าน นางรู้สึกว่ามันยุ่งยากจนเกินไป
ในที่สุดก็เลือกที่จะซื้อเรือน เพื่อปล่อยให้คนเช่า นางให้ลุงจงกว้านซื้อเรือนที่อยู่ติด ๆ กัน จากนั้นก็ทำการปรับปรุงให้สวยงาม โดยเน้นการออกแบบให้ทันสมัย แลดูแตกต่างทว่ากลมกลืนไปกับเมืองฉางได้ด้วย
ที่เหลือก็แค่รอรับค่าเช่าในแต่ละเดือนไป หากคำนวณไม่ผิดสามสี่ปีนางก็ได้ทุนคืนแล้ว หลังจากนั้นถือว่าเป็นกำไร
เมื่อฝึกฝนวรยุทธ์จนชำนาญแล้ว คราวนี้หลี่เมิ่งเหยาจึงหันมาให้ความสำคัญกับโอสถในเรือน ยามนี้นางสามารถควบคุม การเข้าออกเรือนโลกันตร์ได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องรอให้ฝันเท่านั้น นับเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่งนัก
เพียงแค่หมุนเวียนพลังลมปราณให้กลมกลืน เป็นหนึ่งเดียวกับกำไลหยกโลกันตร์ นางก็สามารถเดินทางเข้าออกเรือนโลกันตร์ได้อย่างใจนึก
เมื่อจิตใจเจ้าหลอมรวมเป็นหนึ่ง กับกำไลหยกโลกันตร์ได้ ภายภาคหน้าย่อมสุขสบายอย่างไร้ทุกข์
เป็นเช่นนี้นี่เอง นางเพิ่งเข้าใจ
วันเวลาผ่านไปช่างเร็วนัก เช้าของวันนี้เฉาซูหลิ่งปวดท้องพร้อมคลอดเสียแล้ว ลุงจงรีบนำรถม้าไปรับตัวหมอตำแย ที่เคยตกลงกันไว้
หลี่เมิ่งเหยาไม่ถือเรื่องเด็กหรือสตรี อยู่ในห้องทำคลอดด้วย แม้หมอตำแยจะไล่นางออกจากห้องทำคลอด นางก็ไม่ไป ตั้งใจอยู่เป็นกำลังใจให้มารดา ข้างเตียงทำคลอด
“ตอนเจ้าเกิดท่านย่าของเจ้า ได้ซื้อแม่นมมาเลี้ยงเจ้า พอเจ้าได้สามขวบ นางมาขอไถ่ตัวกลับบ้านเกิดไป ตอนนั้นเจ้ายังเล็กคงจำความไม่ได้”
หลี่เมิ่งเหยาถอนลมหายใจเบา ๆ หันไปทางหมอตำแย
“ท่านป้าหมอตำแย วานท่านช่วยสอนท่านแม่ข้า ให้นมน้องได้หรือไม่”
หมอตำแยยิ้มอย่างเอ็นดูนาง “ย่อมได้อยู่แล้ว” จากนั้นนางก็เข้าไปหาคนบนเตียง พร้อมกับจัดท่าทางการอุ้มเด็ก และสอนวิธีให้นมบุตร
หลี่เมิ่งเหยา “ข้าได้ยินมาว่า หากเด็กไม่ดูดนมให้ใช้นิ้วก้อยเขี่ยมุมปากเขาเบา ๆ”
ผู้ใหญ่ทั้งสามคนภายในห้อง หันไปมองนางเป็นสายตาเดียวกัน
“ข้าพูดสิ่งใดผิดรึ”
หมอตำแยยิ้มเจื่อน ๆ “ไม่ผิดเจ้าค่ะ เป็นอย่างที่คุณหนูเอ่ยมาจริง ๆ”
แต่ที่ผิดคือเด็กสาวเช่นท่านเหตุใดถึงรอบรู้นักนะ หมอตำแยเอ่ยกำชับเรื่องการดูแลร่างกาย และสอนวิธีการอยู่เดือนให้พวกเขาได้รู้ จากนั้นจึงได้ขอตัวกลับ ลุงจงเป็นคนขับรถม้าไปส่งนางถึงเรือน
หลังจากหลี่ชงหยวนเกิดมา ทุกคนภายในบ้านต่างรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เพราะการเลี้ยงดูเด็กทารกคนหนึ่ง ต้องทำให้ร่างกายตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา
และช่วงหลายปีต่อมา กิจการให้เช่าเรือนของหลี่เมิ่งเหยา เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ โดยมีลุงจงเป็นคนดูแลทั้งหมด นางแทบไม่ต้องได้ทำอันใดเลย
ส่วนทางป้าหลูได้ดูแลมารดา กับน้องชายของนางเป็นอย่างดี การซื้อพวกเขามาจากนายหน้า นับว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุดแล้ว
ระหว่างนี้หลี่เมิ่งเหยาได้ฝึกฝนความรู้ ที่อยู่ในเรือนโลกันตร์ นางอ่านตำราในเรือนโอสถ แทบหมดทุกเล่มแล้ว ได้ทดลองปรุงยาด้วยตัวเอง และตอนนี้นางสามารถปรุงยาออกมาใช้เองได้ด้วย
ส่วนวรยุทธ์แน่นอนว่าล้ำหน้ากว่าอาจารย์ อย่างลุงจงไปไกลนัก เพราะนางแอบฝึกฝนอยู่ที่เรือนโลกันตร์ตลอดเวลา สถานที่แห่งนั้น เหมือนมีพลังหมุนเวียนล้ำค่า ทำให้ร่างกายซึมซับ พลังงานที่ดีของที่นั่นไปด้วย
เมื่อนางอายุสิบเจ็ดปี ก็บรรลุเกือบทุกความรู้ ที่อยู่ในเรือนโลกันตร์ กลายเป็นเศรษฐีน้อย ๆ ของเมืองฉางไป เพราะกิจการกว้านซื้อเรือนให้เช่า ส่งผลกำไรอย่างมหาศาล
อีกทั้งยังแอบนำทองคำ ไปแลกเปลี่ยนเป็นตั๋วเงินมาอีกด้วย สรุปแล้วนางใช้เท่าไรก็คงไม่มีวันหมด เพียงแต่นางจะร่ำรวยขึ้น โดยไม่มีที่มาที่ไปไม่ได้ จึงทำตัวให้เหมือนเดิมทุกประการ
แต่เรื่องโอสถล้ำค่าที่นางครอบครองอยู่นั้น ล้วนแต่เป็นของหายากทั้งสิ้น เพราะบรรดาสมุนไพรที่ใช้ทำยา ล้วนอยู่ในสถานที่บนกำไลหยกโลกันตร์ นางมาเข้าใจภายหลัง ป่าดงพงไพรรกร้าง ที่อยู่บนกำไลหยก ล้วนแต่เป็นแหล่งของยาสมุนไพรหายากทั้งนั้น
กว่าจะเข้าใจได้ ก็ใช้เวลาไปหลายปีอยู่เหมือนกัน แต่นางไม่อยากเปิดหอโอสถ ยาพวกนี้ไม่สามารถจำหน่ายในราคาถูกได้ เพราะตัวสมุนไพรที่ใช้ทำยานั้นหาได้ยากยิ่งนัก
นางไม่อาจบอกเรื่องโอสถล้ำค่าแก่คนในเรือนได้ เรื่องกำไลหยกโลกันตร์ต้องเป็นความลับ ที่มีเพียงนางคนเดียวที่รู้ ไม่เช่นนั้นความยุ่งยากจะตามมาภายหลัง
จึงแอบนำยาที่ปรุงไว้ออกมาติดต่อซื้อขาย กับเถ้าแก่ของหอโอสถใหญ่ ประจำเมืองฉางอย่างเงียบ ๆ

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บุตรีอนุผู้ถูกทอดทิ้ง