บทที่ 65 จากบ้าน
"แม่ค่ะ แม่ทำเกินไปแล้ว...." จางฉีโม่เผยสีหน้าไม่พอใจขึ้น และช่วยพูดแทนหลินอิ่งว่า "บ้านหลังนี้หลินอิ่งเป็นคนซื้อ แม่ลืมไปแล้วหรอ?"
"หลินอิ่งซื้อบ้านอะไรกัน? ไม่ใช่แม่บอกลูกตั้งนานแล้วหรอ? หากไม่มีลูกที่ช่วยทำให้เขากลายเป็นรองผู้จัดการ เขาจะเอาอะไรซื้อบ้านได้ ตอนนี้คงอยู่ริมข้างถนนแน่!" ลู่หย่าฮุยพูดด้วยสีหน้าดูถูกขึ้น "อีกอย่างชื่อของเจ้าของบ้านไม่ใช่ของลูกหรอ?"
"แม่ค่ะ ไม่ว่าจะพูดยังไง หลินอิ่งก็เป็นคนซื้อบ้านให้กับหนู ซึ่งเงินที่ซื้อเป็นของเขา" จางฉีโม่พูดขึ้น และรู้สึกว่าเรื่องนี้แม่ทำเกินไป
แต่ลู่หย่าฮุยมีความคิดไม่เหมือนกับจางฉีโม่เลย เธอคิดว่าการที่หลินอิ่งซื้อบ้านให้กับพวกเขาถือเป็นเรื่องสมควร
"ฉันบอกตั้งนานแล้วว่า นี่เป็นค่าตอบแทนที่หลินอิ่งกินอยู่กับเรามาสองปี การตอบแทนถือเป็นคุณธรรมที่ต้องปฏิบัติ!" ลู่หย่าฮุยพูดขึ้น "อีกอย่าง บ้านในราคาสองล้านคิดอะไรมาก! ลูกไม่เห็นหรอ ของขวัญแรกพบที่หวางจื่อเหวินมองให้มีราคากว่าหลายล้าน?"
"ลูกแม่ หวางจื่อเหวินสนใจลูกขนาดนี้ ต่อไปลูกก็คบกับเขาดีๆนะ บ้านราคาสองล้านไม่มีค่ามากหรอก" ลู่หย่าฮุยยิ่งพูดแทงใจดำมากขึ้น "อีกอย่างบ้านหลังนี้เราสมควรได้รับ! หากเปรียบเทียบกับความลำบากที่หลินอิ่งทำต่อลูก และครอบครัวเรา เงินแค่นี้สามารถแก้ปัญหาได้หรอ?"
หลินอิ่งส่ายหน้า เขารู้มาตั้งนานแล้วว่า ลู่หย่าฮุยเป็นคนบ้านเงินทอง แต่ดูเหมือนครั้งนี้ หลังจากเธอได้รับของขวัญจากหวางจื่อเหวิน เธอดูตื่นเต้นเป็นพิเศษเลย
"พูดแบบนี้ไม่ได้ แม่ค่ะ หนูกับหวางจื่อเหวินคนนั้นเพิ่งเจอกันแค่ครั้งเดียวเอง" จางฉีโม่พูดด้วยน้ำเสียงจนปัญญาขึ้น
"คุณหวางจื่อเหวินรักลูกตั้งแต่ครั้งแรกที่พบ ไม่เช่นนั้นเขาจะมอบของขวัญราคาหลายล้านกับลูกทำไม? ขนาดถูกหลินอิ่งคอยสร้างปัญหา เขายังไม่มากล่าวโทษต่อครอบครัวเราเลย" ลู่หน้าฮุยพูดต่อว่า "ดูสิ วันนี้ถือว่าลูกได้เห็นธาตุแท้ของหลินอิ่งแล้ว ไม่มีความสามารถ แล้วยังไปก่อปัญหาต่อครอบครัวของเราอีก ยังไม่รวมกับที่ไม่มีจิตสำนึกแอบไปมัวกับผู้หญิงข้างนอกอีกนะ! แม่คิดว่า คุณหวางจื่อเหวินต้องการช่วยลูกให้มีชีวิตที่ดีขึ้น อยากให้ลูกหลุดพ้นจากคนใจจืดใจดำอย่างหลินอิ่ง ป้าสองของลูกเองก็เคยพูดแล้วว่า หากสามารถปรองดองกับตระกูลหลงได้ ชีวิตในอนาคตคงมั่นคงอย่างแน่นอน!"
จางฉีโม่กัดริมฝีปากไม่ยอมพูด เมื่อเห็นแม่ของตัวเองลุ่มหลงชีวิตที่อยู่ในภาพลวงตา และถูกของขวัญของหวางจื่อเหวินทำให้สมองเลอะเลือน เธอเลยไม่อยากพูดอะไร เพราะต่อให้พูดมากแค่ไหนก็ไม่เข้าหูหรอก
"อีกอย่างฉีโม่! พ่อของลูกก็มีสภาพหัวใจไม่ดีอยู่แล้ว ยิ่งต้องมาเจอกับเรื่องที่หลินอิ่งสร้างความวุ่นวายอีก อาการของเขาคงทรุดแย่ลงแน่" ลู่หย่าฮุยพูดเกลี้ยกล่อมด้วยคำพูดแทงใจดำขึ้น "ลูกยังอยากให้หลินอิ่งอยู่บ้านสร้างปัญหาอีกหรอ แม่กับพ่อของลูกทนดูเขาต่อไปไม่ได้แล้ว ถ้าหากพ่อของลูกอาการกำเริดอีกจะทำยังไง?"
จางฉีโม่เผยสีหน้าลังเลเล็กน้อย และถอนหายใจ เธอกล้าหันหน้ามองหลินอิ่ง ไม่สามารถพูดเกลี้ยกล่อมพ่อกับแม่ได้แล้ว และไม่อยากพูดอะไรอีกด้วย ดังนั้นเลยเดินกลับไปที่ห้องของตัวเอง
"หืม! หลินอิ่ง นายเห็นหรือยัง เรื่องที่นายก่อขึ้นในวันนี้ แม้แต่ฉันโม่ก็รู้สึกผิดกับนาย" ลู่หย่าฮุยพูดประชดประชันขึ้น
พูดจบ เธอก็หันหน้ามองหลินอิ่ง และพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า : "คนของตระกูลจางปรึกษาหารือกันเสร็จแล้ว อีกสักพักมีการประชุมที่คฤหาสน์พี่ใหญ่ของตระกูลจาง เพราะเรื่องของนาย ทำให้พวกเราต้องวุ่นวายกันขนาดนี้"
"นายไปหาความสุขข้างนอกเถอะ อย่ามาสร้างปัญหาให้กับคนอื่นเลย อีกไม่กี่วันไปประชุมที่คฤหาสน์พี่ใหญ่ของตระกูลจางด้วย หลังจากจุดธูปตัดนายออกจากตระกูลต่อหน้าบรรพบุรุษเสร็จ ก็จะได้ดำเนินการหย่านายกับฉีโม่สักที!"
หลินอิ่งไม่พูดอะไร นอกจากหยิบกุญแจวางลงบนโซฟา แล้วหันหลังเดินจากไป
"ฮ่าฮ่า กล้าทำหน้าทำตาใส่ฉันหรอ?" ลู่หย่าฮุยจ้องมองร่างเงาที่จากไปของหลินอิ่ง
"ในที่สุดที่บ้านของเราก็สงบสุขสักที" ลู่หย่าฮุยนั่งลงบนโซฟาด้วยสีหน้าสบายใจ แล้วหยิบผลไม้ขึ้นมากินเล็กน้อยพลาง และดูโทรทัศน์พลางด้วย ขณะเดียวกันวาดฝันว่าฉีโม่แต่งงานกับหวางจื่อเหวิน ส่วนคัวเองก็เป็นแม่ยายของตระกูลใหญ่ เธอใช้ชีวิตอยู่ในคฤหาสน์ และมีคนรับใช้คอยปรนนิบัติ
ไม่ว่าจะเป็นจางหงจุน จางหงซวนหรือว่าใครก็ตามก็ต้องปฏิบัติตัวต่อเธออย่างถ่อมตัว!
……
อีกด้าน หลินอิ่งออกจากชุมชนสุ่ยหยวนในช่วงตอนกลางคืนที่หนาวเย็น และมีใบไม้ปลิวลอยบนถนน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซุปเปอร์เจ้าสำราญ