“ผมบอกไม่ให้คุณมา คุณก็ยังจะมาอีก!”
“ถ้าฉันไม่มาแล้วคุณจะทำยังไงล่ะ?”
……
……
แผนกฉุกเฉินก็มีเพื่อนเก่าแก่เช่นกัน ตอนที่ปู่หวังเดินถือไม้เท้าเข้ามาที่ประตูตึกแผนกฉุกเฉิน เสี่ยวหลินก็พูดยิ้มๆ ว่า “คุณปู่ คุณมาอีกแล้ว!”
ปู่หวังหัวเราะ “มาแล้วๆ”
หัวหน้าพยาบาลเข้ามาช่วยประคองด้วยตัวเอง “คุณปู่หวัง วันนี้ไม่สบายตรงไหนหรือคะ?”
คุณปู่หวังยังไม่ทันพูด เสียงไอระลอกหนึ่งก็ดังขัดคำพูดเขาเอาไว้ ไออยู่นานจนหายใจไม่ทัน เถียนเซียงหลานจึงรีบตบหลังให้เขาเบาๆ ทั้งยังช่วยลูบหน้าอกให้ด้วย จึงทำให้ลมหายใจของเขาสงบขึ้น
คุณปู่หวังทอดถอนใจ จากนั้นจึงพูดยิ้มๆ ว่า “เมื่อคืนผมไอหนัก ไอจนรู้สึกแปลกๆ ตรงหัวใจ พอตอนเช้าก็รีบมาที่นี่เลย ผมไปลงทะเบียนก่อนนะครับ”
ตอนนี้เพิ่งเป็นเวลาเจ็ดโมงกว่า แผนกฉุกเฉินยังไม่ได้แลกเวร เหล่าเฉินที่เป็นเวรตอนกลางคืนยังทำงานอยู่ คนที่เป็นเวรเช้าก็ยังไม่มา แต่เฉินชางชินกับการมาโรงพยาบาลตั้งแต่เช้าแล้ว
เพิ่งเดินเข้าประตูมาก็เห็นคุณปู่หวังแล้ว เขาจึงยิ้มเข้าไปทักทาย กล่าวอรุณสวัสดิ์ไปคำหนึ่ง
ถึงที่นี่จะเป็นโรงพยาบาล และเขาก็รู้ว่าคุณปู่หวังเป็นคนไข้ แต่พอเจอหน้ากันแล้วคงไม่อาจทักทายว่า “ทำไมไม่สบายล่ะครับ?” ได้หรอก
คุณปู่หวังเห็นเฉินชางก็ยิ้มตอบ “เสี่ยวเฉิน มาเช้าขนาดนี้เลยหรือ”
ตอนนี้เฉินชางมองคุณปู่หวังอย่างจริงจัง ขมวดคิ้วเล็กน้อย
วันนี้คุณปู่หวังดูสีหน้าไม่ค่อยดีนะ?
อาการกำเริบอีกแล้วหรือ?
“คุณปู่หวังครับ คุณไม่สบายตรงไหน? อาการกำเริบอีกแล้วหรือ?”
คุณปู่หวังมีชื่อว่าหวังเหม่าเกิน เป็นชายชราที่มีนิสัยทะนงตัวหัวแข็ง พักอยู่ที่หอพักของโรงเลื่อยไม้ที่อยู่ไม่ไกลจากโรงพยาบาลอันดับสอง ตอนยังหนุ่มเป็นหัวหน้างานมาทั้งชีวิต มีทักษะในการพูดคุยสั่งงาน พอแก่แล้วก็อยู่เฉยๆ ไม่ได้ แต่ตอนเป็นหัวหน้างานตอนหนุ่มๆ เขาสูบบุหรี่จัด ทำให้เป็นโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง[1]
ถ้าใช้คำพูดของคุณปู่หวังมาพูดก็คือ “เป็นหัวหน้างานมาชั่วชีวิตก็สะสมอาการป่วยมาชั่วชีวิต!”
คุณปู่หวังชอบหัวเราะเสียงดัง ทั้งๆ ที่ป่วย แต่รอยย่นที่มุมปากก็ยังเคล้าไปด้วยรอยยิ้มอารมณ์ดี
เฉินชางนับถือผู้สูงอายุเช่นนี้มากจริงๆ ทุกครั้งที่เจอกัน เขาจะสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดสะอ้านและกางเกงสแล็คที่รีดจนเรียบ รองเท้าหนังสีน้ำตาลหยาบ ทั้งสะอาดและดูดี
ชายชราคนนี้เป็นแขกประจำของแผนกฉุกเฉิน ตอนที่เฉินชางเพิ่งมาทำงานที่โรงพยาบาลอันดับสองยังต้องถามทางอีกฝ่ายด้วยซ้ำ
พริบตาเดียวก็ผ่านไปแล้วสองปี ชราชราคนนี้ เมื่อผ่านไประยะหนึ่งก็จะมาครั้งหนึ่ง ถ้าไม่มาซื้อยาให้ตัวเองก็มาซื้อยาให้ลูกชาย และที่ต้องมาแผนกฉุกเฉิน ก็เพราะทุกครั้งที่เขามาซื้อยา จะชอบมาตอนกลางคืน ซึ่งแผนกผู้ป่วยนอกปิดไปแล้ว
ชายชรายังไม่ทันพูดอะไรก็ไอขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากไอเสร็จก็เริ่มหอบหายใจ
“ฟู่…ฟ่…ฟู่…”
ชายชราพยายามหายใจสุดชีวิต สีหน้าเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวม่วง ลมหายใจกระชั้นถี่รุนแรง!
เฉินชางมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที “เสี่ยวหลิน พาไปที่ห้องสังเกตอาการ ให้ออกซิเจนด้วย”
คุณปู่หวังเป็นผู้ป่วยเก่าแก่ ทุกครั้งที่มาส่วนใหญ่ก็เป็นเช่นนี้ เฉินชางแทบจะท่องประวัติผู้ป่วยของเขาได้หมดแล้ว บนสมุดประวัติการรักษาของคุณปู่หวังก็เป็นลายมือเฉินชางทั้งหมด สองปีมานี้คุณปู่หวังเปลี่ยนสมุดไปแล้วสองเล่ม
อาการป่วยของเขาชัดเจนมาก เป็นโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังกำเริบฉับพลัน แล้วยังมีโรคปอดอื่นๆ…
สำหรับผู้ชายชราอายุแปดสิบกว่าปี ทุกครั้งที่อาการกำเริบก็เท่ากับอาการทวีความรุนแรงขึ้นอีกระดับหนึ่ง จนเฉินชางเริ่มกังวลแล้วว่าคุณปู่ที่สะอาดเนี้ยบคนนี้จะมาได้อีกกี่ครั้ง?
เสี่ยวหลินทำกราฟหัวใจ วัดความดันเลือดและวัดค่าออกซิเจนในเลือดให้คุณปู่อย่างคุ้นเคย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่คิดค่าใช้จ่าย
“หมอเฉินคะ ความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดแค่แปดสิบค่ะ…” เสี่ยวหลินมองคุณปู่หวังด้วยความกังวล เอ่ยเบาๆ
เฉินชางพยักหน้า ความจริงไม่ต้องตรวจเขาก็รู้
ความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดต่ำขนาดนี้ แสดงว่าผู้ป่วยทนมานานแล้ว หากเป็นคนอื่นคงแสดงอาการอะไรออกมาบ้าง แต่ชราคนนี้กลับทำเพียงหรี่ตามองเขาขณะที่ใส่เครื่องให้ออกซิเจนอยู่
เฉินชางรู้สึกเสียใจจริงๆ…ทุกครั้งที่คุณปู่หวังมา เขาจะกังวลเสมอ
นี่เป็นผู้ป่วยเพียงคนเดียวที่หัวหน้าพยาบาลเถียนเซียงหลานผู้คอยดูแลเรื่องการเงินหลับตาข้างลืมตาข้าง ไม่ว่าจะเครื่องให้ออกซิเจนของเขาก็ดี จะทำกราฟหัวใจก็ดี…ทุกอย่างไม่คิดค่าใช้จ่าย
ตราบใดที่แผนกฉุกเฉินหาเงินมาอุดช่องโหว่นี้ได้ เถียนเซียงหลานก็จะไม่พูดอะไร
โบราณว่าเจ็บป่วยมานานจนกลายเป็นหมอเสียเอง คุณปู่หวังก็เช่นกัน เขาถอดหน้ากากออกซิเจนออก พูดอย่างมั่นใจว่า “หมอเสี่ยวเฉิน…ตรวจวิเคราะห์ก๊าซในหลอดเลือดแดง[2]เถอะครับ วิเคราะห์ก๊าซในเลือดสักหน่อย อย่างอื่นไม่ต้องตรวจแล้ว”
เฉินชางพยักหน้ายิ้มๆ ไม่ได้พูดโน้มน้าวอะไรมาก เพราะเขารู้ว่าคำพูดโน้มน้าวเหล่านี้ไม่มีประโยชน์อะไร
ความจริงชายชราที่ดูภูมิฐานและทะนงตนคนนี้ต้องแบกรับภาระไม่น้อยเลย
เงินที่ได้หลังจากเกษียณซึ่งดูผิวเผินเหมือนจะเยอะ แต่มันไม่พอและไม่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายสำหรับการดำรงชีวิตของเขา ค่าใช้จ่ายจึงกลายเป็นอุปสรรคชิ้นใหญ่ที่สุดของเขา
เฉินชางหยิบสมุดบันทึกการรักษาขึ้นมาตามขั้นตอน เดินไปข้างๆ คุณปู่หวัง “คุณปู่ครับ อาการของโรคนี้คุณคงรู้ดีแล้ว และผมก็อธิบายความอันตรายของมันให้คุณฟังมาตลอด อย่างเช่นอาการช็อค…หมดสติหรือตาย คุณจะเซ็นชื่อปฏิเสธการตรวจตรงนี้หรือเปล่าครับ?”
คุณปู่หวังยิ้ม รับปากกามาเซ็นชื่อด้วยอาการมือสั่นพลางพูดว่า “ผมเซ็นชื่อมาครึ่งชีวิตแล้ว คิดไม่ถึงว่าแก่แล้วยังหนีไม่พ้นโชคชะตาแบบนี้อีก ฮ่าๆ…”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ