เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ นิยาย บท 146

สรุปบท บทที่ 146 ระดับยี่สิบแล้ว!: เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ

สรุปตอน บทที่ 146 ระดับยี่สิบแล้ว! – จากเรื่อง เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ โดย Internet

ตอน บทที่ 146 ระดับยี่สิบแล้ว! ของนิยายSlice of Lifeเรื่องดัง เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

บทที่ 146 ระดับยี่สิบแล้ว!

เวลาบ่ายสองกว่า แผนกฉุกเฉินมีคู่รักคู่หนึ่งมาเยือน คงเป็นคู่รักหนุ่มสาวนักศึกษามหาวิทยาลัย

หากพูดให้ชัดเจนก็คือ คนหนึ่งเป็นหญิงสาวอายุประมาณยี่สิบปี มีชายหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งเดินมาด้วย ชายคนนั้นอุ้มผู้หญิงเดินเข้ามาที่แผนกฉุกเฉินด้วยสีหน้ากระวนกระวาย ท่าทางเคร่งเครียดจนทนไม่ไหว!

หมอเวรฝ่ายอายุรกรรมในวันนี้ก็คือเยี่ยนหมิง เป็นหมออายุรกรรมอายุสี่สิบกว่าปีที่ชอบพกกระติกน้ำร้อนคนหนึ่ง เดิมทีเขาเป็นหมออยู่ที่แผนกต่อมไร้ท่อ ว่ากันว่าเพราะอุบัติเหตุทางการรักษาจึงถูกทางโรงพยาบาลสั่งให้หยุดงานพักผ่อนอยู่ที่บ้านสองปี ต่อมาที่แผนกไม่ต้องการเขาแล้วจึงมาอยู่ที่แผนกฉุกเฉิน กลายเป็นหมออายุรกรรมของแผนก

เขามาทำงานตรงเวลาทุกวันและเลิกงานตรงเวลาทุกวัน หากไม่ใช่เรื่องของตัวเองก็จะไม่ยุ่ง หากเป็นเรื่องของตัวเอง ยุ่งได้น้อยเท่าไหร่ก็จะยุ่งให้น้อยที่สุด

เขาที่อายุเกือบห้าสิบไม่มีความกระตือรือร้นด้านการงานนานแล้ว ทั้งวันเอาแต่พกกระติกน้ำร้อนที่มีชาเก๊กฮวยอยู่ข้างใน เห็นใครก็ยิ้มจนตาหยี ทักทายไปตามมารยาท

ตอนนี้เมื่อเห็นผู้ป่วย เยี่ยนหมิงก็เรียกให้พยาบาลเข็นเตียงเข้ามา ให้ผู้หญิงคนนั้นนอนลงบนเตียง

ผู้หญิงคนนั้นมีหน้าตาสะสวยมาก หน้าเรียวคางแหลม ผิวขาวกระจ่าง เส้นผมยาวสลวย แต่งกายตามแฟชั่น แต่ตอนนี้เธอนอนอยู่บนเตียง แขนขาแข็งทื่อ มือทั้งสองจีบเหมือนขาไก่ ทำอย่างไรก็ไม่คลาย แข็งทื่อจนผิดปกติและพูดอะไรไม่ได้

ตอนนี้จึงค่อยรู้ว่าผู้หญิงคนนี้ชื่อหลี่หรงหรง ส่วนผู้ชายชื่อหยางหลิน!

หยางหลินเพิ่งเจอสถานการณ์แบบนี้เป็นครั้งแรก เขาที่เพิ่งอายุยี่สิบจะรู้ได้อย่างไรว่ามันเกิดอะไรขึ้น จึงรีบเรียกรถฉุกเฉินให้มาส่งที่โรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด ซึ่งก็คือแผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลอันดับสองนั่นเอง

ตอนนี้หยางหลินรวบรวมความกล้า มองไปที่เยี่ยนหมิง ถามอย่างหวาดกลัวว่า “หมอครับ! แฟน…แฟนผมเป็นอะไรครับ?”

เยี่ยนหมิงเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็รู้สึกสงสัย เพราะเรื่องแบบนี้เจอไม่บ่อยนัก

หรือจะเป็นลมบ้าหมู?

เมื่อคิดถึงตรงนี้ เยี่ยนหมิงก็มองไปที่ผู้หญิงคนนั้น ถามขึ้นว่า “คุณได้ยินที่ผมพูดไหมครับ?”

ดวงตากลมโตของหลี่หรงหรงสั่นไหวเล็กน้อย เธอพยายามพยักหน้า แต่ปากกลับพูดอะไรไม่ออก อือๆ อาๆ อยู่ครึ่งค่อนวัน ทำเอาหญิงสาวร้อนใจจนน้ำตาไหลพรากลงมา

ยิ่งร้อนใจก็ยิ่งหวาดกลัว หญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียงอ้าปากหอบหายใจ คิดจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เปลืองแรงไปมากแล้วก็ยังพูดอะไรไม่ออก

พริบตานั้นหลี่หรงหรงกลัวว่าตัวเองจะตาย ฉันคงไม่ได้ป่วยระยะสุดท้ายหรอกนะ?

เมื่อคิดถึงตรงนี้ อารมณ์ก็ยิ่งดำดิ่ง มองไปยังหยางหลิน ในดวงตาเต็มไปด้วยความเศร้าโศก

หยางหลินเองก็อายุไม่มาก เพิ่งจะยี่สิบต้นๆ เมื่อต้องมาเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ก็ไม่รู้ว่าจะรับมืออย่างไร ได้แต่ใช้มือทั้งสองกุมมือของแฟนสาวไว้ไม่กล้าปล่อย

เขาอยากทำตัวเป็นลูกผู้ชายเข้มแข็ง คอยสนับสนุนผู้หญิงของตน แต่เขาที่ยังเยาว์ก็ยังรู้สึกหวาดกลัว

หยางหลินมองหลี่หรงหรงอย่างเจ็บปวดใจ ในดวงตาเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว เหมือนกับลักษณะที่ชายหนุ่มสมควรมี

ส่วนเยี่ยนหมิงกลับขมวดคิ้วใคร่ครวญ

อาจจะเป็นลมบ้าหมู!

แต่ก็ไม่ค่อยเหมือน!

จะไปให้หมอมาตรวจร่วมดีหรือเปล่า?

เมื่อคิดถึงตรงนี้เยี่ยนหมิงก็มองไปที่หยางหลิน “คุณเป็นอะไรกับเธอครับ?”

ในดวงตาของหยางหลินมีความลังเล เนิ่นนานผ่านไปจึงค่อยบอกว่า “ผมเป็นแฟนเธอครับ!”

เยี่ยนหมิงพยักหน้า “อ้อ เธอเป็นแบบนี้ได้ยังไง?”

หยางหลินย้อนนึก “พวกเราเพิ่งไปช้อปปิ้งกันมา แต่เพราะทะเลาะกันเล็กน้อย สุดท้ายแฟนของผมก็โกรธจนทนไม่ไหวและเริ่มระบายอารมณ์ ผมเองก็โกรธเลยทะเลาะกับเธอไปนิดหน่อย”

“แต่ไม่นาน อยู่ดีๆ เธอก็เริ่มไม่พูดอะไร จากนั้นมือทั้งสองก็กลายเป็นเหมือนขาไก่แบบนี้ แล้วก็ล้มลงกับพื้น!”

เมื่อพูดถึงคำสุดท้าย หยางหลินก็เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด “ต้องโทษผม เพราะผมทำให้คุณโกรธ ต่อไปผมจะไม่ทำให้คุณโกรธอีกแล้ว!”

หยางหลินพูดไปพลางใช้มือหนึ่งกุมมือหลี่หรงหรง ใช้อีกมือหนึ่งเช็ดน้ำตาให้เธอ

หลี่หรงหรงทำได้เพียงนอนอยู่เช่นนั้น ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมา ครึ่งค่อนวันก็ยังพูดอะไรไม่ออก ทำได้เพียงหอบหายใจ

เยี่ยนหมิงมองไปยังหลี่หรงหรง “ก่อนหน้านี้คุณไม่ได้มีอาการลมบ้าหมูใช่ไหมครับ? คนในครอบครัวมีใครเป็นหรือเปล่าครับ?”

หลี่หรงหรงพยายามส่ายหน้าเต็มที่

“พวกคุณรอผมสักครู่นะครับ ผมจะให้แพทย์อายุรเวชด้านประสาทมาร่วมตรวจ ดูว่าสมองมีปัญหาอะไรหรือเปล่า ส่วนคุณผู้ชาย คุณอย่าเพิ่งใจร้อน อย่าเครียด อยู่เป็นเพื่อนแฟนของคุณให้ดีนะครับ ใช่แล้ว คุณช่วยติดต่อครอบครัวเธอด้วย ตอนนี้อาการของผู้ป่วยยังไม่มั่นคง จะต้องเซ็นชื่อ”

หยางหลินได้ยินดังนั้นก็ก้มตัวลงพูดกับผู้หญิงว่า “คุณวางใจได้ ผมจะดูแลคุณให้ดี รอผมนะครับ”

หลี่หรงหรงเห็นหยางหลินปฏิบัติกับเธอเช่นนี้ คล้ายได้พบความจริงใจในความยากลำบาก เหมือนได้พบความรักที่แท้จริง

หยางหลินพูดจบก็เดินตามเยี่ยนหมิงออกไป

เมื่อทำเรื่องขอร่วมตรวจกับหมอท่านอื่นไม่ถึงสิบนาที หมอฝ่ายอายุรกรรมประสาทก็ลงมา เริ่มตรวจผู้ป่วย จากนั้นจึงแสดงความเห็นว่า “ทำกราฟสมองกับซีทีสแกน ดูเรื่องการบาดเจ็บเกี่ยวกับกะโหลกก่อน แต่ยังต้องพิจารณาเรื่องลมบ้าหมูอยู่ หากไม่ใช่ก็ต้องร่วมตรวจกับฝ่ายศัลยกรรมทั่วไป”

เฉินชางเพิ่งออกมาจากห้องเวร พลันเห็นชายคนหนึ่งกำลังโทรศัพท์อยู่ที่นั่น “พี่หย่ง ผมขอยืมเงินหน่อยนะครับ ผมรีบใช้มาก ไม่มีหรือครับ ไม่เป็นไร…”

หยางหลินวางโทรศัพท์ไปแล้วเริ่มกดโทรอีกครั้ง โทรไปๆ มาๆ ไม่ง่ายเลยกว่าจะหาเงินมาได้สองพันกว่าหยวน

พวกเขาเป็นแค่นักศึกษา จะมีเงินใช้จ่ายมากขนาดนั้นที่ไหนกัน กว่าจะยืมเงินได้ก็ไม่ง่ายเลย หยางหลินเห็นเยี่ยนหมิงอยู่ที่นั่นจึงเดินเข้าไป “หมอครับ เป็นยังไงบ้างครับ?”

เยี่ยนหมิงนำผลตรวจร่วมออกมาพูดว่า “หมอฝ่ายอายุรกรรมประสาทกังวลว่าจะมีอาการบาดเจ็บที่กะโหลก ต้องการให้คุณไปทำซีทีสแกนและกราฟสมองก่อน หลังจากผลตรวจออกมาแล้วค่อยดูผลกันอีกที”

หยางหลินลังเลเล็กน้อย จะอย่างไรเขาก็เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย บนตัวมีเงินไม่มาก เมื่อเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ยังคงกังวลอยู่บ้าง “หมอครับ ทำซีทีสแกนต้องใช้เงินเท่าไหร่? แล้วก็กราฟสมองด้วย?”

เยี่ยนหมิงตอบว่า “ทั้งหมดก็ประมาณห้าหกร้อย ซีทีสแกนก็สองสามร้อย กราฟสมองสองสามร้อย ส่วนรายละเอียดคุณไปถามตรงแผนกเก็บเงินได้เลยครับ ผมก็ไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่”

“ใช่แล้ว อาการของผู้ป่วยยังไม่มั่นคง คุณติดต่อญาติผู้ป่วยด้วยนะครับ ให้พวกเขามาเซ็นชื่อด้วย”

เยี่ยนหมิงให้ความสำคัญกับเรื่องการเซ็นชื่อมาก เน้นย้ำเรื่องเซ็นชื่อกลับไปกลับมาอยู่หลายครั้ง

หยางหลินได้ยินดังนั้นก็เข้าไปพูดคุยกับหลี่หรงหรง แต่หลี่หรงหรงกลับกำโทรศัพท์แน่น จะอย่างไรก็ไม่ยอมให้หยางหลินเอาโทรศัพท์ไป เธอส่ายหน้าไม่ให้เขาโทรหาครอบครัว

เยี่ยนหมิงเห็นสถานการณ์เช่นนี้ในใจก็บ่นว่ายุ่งยากแล้ว ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมาจะทำอย่างไร

สถานการณ์เช่นนี้ยุ่งยากเป็นที่สุด ลูกไม่เชื่อฟัง ไม่ให้โทรหาครอบครัว พอถึงตอนเกิดเรื่องขึ้นมาผู้ใหญ่ในบ้านก็จะมาหาเรื่องตน!

จะทำอย่างไรดี?

เมื่อเฉินชางเดินเข้ามาก็เห็นเยี่ยนหมิงยืนอยู่ จึงเข้าไปทักทาย “อาจารย์เยี่ยน มีคนไข้หรือครับ?”

เยี่ยนหมิงเลื่อนสายตาไปมอง “เสี่ยวเฉิน วันนี้คุณเป็นเวรหรือ?”

เฉินชางพยักหน้า “ใช่ครับ!”

เยี่ยนหมิงพูดว่า “คุณเป็นเวรหรือ พอดีเลย ผมมีคนไข้อยู่ ให้หมออายุรกรรมประสาทมาร่วมตรวจแล้วแต่ยังต้องตรวจเพิ่มอีก สภาพของคนไข้ยังไม่มั่นคง จะต้องติดต่อครอบครัว แต่คนไข้ไม่ยอม คุณอายุพอๆ กับคนไข้ ไปเกลี้ยกล่อมหน่อยได้หรือเปล่าครับ?”

ตอนนี้เยี่ยนหมิงก็เดินเข้ามา เมื่อเห็นสถานการณ์ก็ชะงักไป

นี่มันสถานการณ์อะไรกัน?

คนไข้หายด้วยตัวเองหรือ?

ชายคนนั้นพูดกับเยี่ยนหมิงว่า “หมอครับ! ทำไมบทจะหายก็หายเลยล่ะครับ? แค่นอนอยู่ที่นั่นไม่เท่าไหร่…”

เยี่ยนหมิงพยักหน้า “คงเป็นลมบ้าหมูน่ะครับ พออาการกำเริบก็จะหายเป็นปกติเอง ผมเสนอให้คุณไปทำกราฟสมองเพื่อให้มั่นใจสักหน่อย”

เฉินชางส่ายหน้า พูดยิ้มๆ ว่า “ไม่ต้องทำหรอกครับ นี่ไม่ใช่ลมบ้าหมู แต่แก๊สในร่างกายเป็นพิษ!”

ทุกคนเห็นดังนั้นก็รีบหันไปมองเฉินชาง แม้แต่เสี่ยวหลินที่อยู่ด้านข้างก็เดินเข้ามาด้วยความอยากรู้อยากเห็น

เฉินชางอธิบายต่อไป “ความจริงนี่เป็นภาวะหายใจเกินอย่างหนึ่ง!”

“สาเหตุก็คือตอนที่พวกคุณทะเลาะกัน กลับไปกระตุ้นให้เกิดความเครียด จึงหายใจเร็วขึ้น ทำให้คาร์บอนไดออกไซด์ในร่างกายไม่เพียงพอ จนเกิดอาการลมหายใจเป็นพิษ!”

“หากหายใจเข้าไปมากๆ จะทำให้มีการระบายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากร่างกายมากเกินไป ทำให้คาร์บอนไดออกไซด์ในร่างกายถูกกำจัดออกเกินความจำเป็น ในตัวเหลือก๊าซไม่พอ ในทางคลินิกพวกเราเรียกว่าลมหายใจเป็นพิษ เมื่อปรากฏอาการนี้จะทำให้แขนขาแข็งเกร็ง ตัวสั่น และอาการอื่นๆ แต่สติรับรู้ยังคงชัดเจน”

“สภาพของผู้ป่วยไม่ได้ร้ายแรง ไม่จำเป็นต้องรักษามากเกินไป เมื่อครู่ให้สูดหายใจช้าๆ ให้คาร์บอนไดออกไซด์ในตัวมีมากหน่อย อาการก็ดีขึ้นแล้วครับ”

เมื่อเฉินชางพูดจบ เยี่ยนหมิงก็หน้าไม่เปลี่ยนสี กลับพูดออกมายิ้มๆ ว่า “อืม! ใช่แล้ว ทำไมผมคิดไม่ถึงนะ? พอได้ยินคุณพูดแบบนี้ก็รู้สึกว่ามันเป็นแบบนั้นจริงๆ หนุ่มน้อย ต่อไปก็อย่าไปยั่วให้แฟนโกรธอีกล่ะ!”

พูดจบเยี่ยนหมิงก็ถือกระติกน้ำร้อนขึ้นดื่ม จากนั้นจึงเดินจากไป ในใจคิดว่า เฮ้อ…อีกสองปีไปลงชื่อเกษียณก่อนเวลาดีกว่า!

เฉินชางส่ายหน้า เยี่ยนหมิงทำตัวแบบนี้ในแผนกฉุกเฉินมานานแล้ว แต่เขามีความอาวุโสที่สุดจึงไม่มีใครว่าอะไร เพราะจะอย่างไรเยี่ยนหมิงในตอนนี้ก็ไม่ได้ก่อเรื่อง พอเจอเรื่องอะไร ปฏิกิริยาแรกที่จะทำก็คือหาคนตรวจร่วม ต่อมาก็คือย้ายแผนก สุดท้ายก็คือให้ญาติเซ็นชื่อ ไม่หาความยุ่งยากมาให้แผนกฉุกเฉินเป็นอันขาด นับว่าทำให้หลี่เป่าซานไม่โกรธอะไรมาก

หยางหลินได้ยินว่าไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ก็วางใจได้ในที่สุด!

เขารีบเดินเข้ามาข้างกายเธอ กล่าวรับประกันว่า “ต่อไปผมจะไม่หาเรื่องให้คุณโกรธอีกแล้ว!”

หลังจากกล่าวคำขอโทษขอโพยอันน้ำเน่าสะเทือนใจคนเรียบร้อย ทั้งสองก็เริ่มเข้าสู่โหมดฉากจบของละครอันน่าประทับใจลึกซึ้ง

เฉินชางเห็นดังนั้นก็ขมวดคิ้ว พูดส่งเสริมออกไปประโยคหนึ่ง “อืม คุณต้องรีบหมั้นเธอไว้นะครับ ไม่แน่ว่าอาจไม่ต้องมาโรงพยาบาลแล้วก็ได้…”

คู่รักได้ยินก็ยิ่งเข้าสู่โหมดน้ำเน่า

เฉินชางมองด้วยความรู้สึกเปรี้ยวจี๊ดในใจ เสมือนได้รับดาเมจรุนแรง

เฉินชางชะงักไป ไม่ถูกสิ!

ตนสวมชุดกาวน์สีขาวพลังป้องกันบวกสามแล้วชัดๆ แต่ทำไมถึงโดนดาเมจรุนแรงขนาดนี้?

หรือว่า…การแสดงความรักต่อหน้าหมาโสดจะร้ายกาจเกินไปจริงๆ?

เมื่อคิดถึงตรงนี้ เฉินชางก็รู้สึกเสียใจ รีบเดินจากไปทันที!

แต่ตอนนี้ยังมีเรื่องที่ควรให้ความสำคัญมากกว่า

[ติ๊ง! ยินดีด้วย ระดับของคุณเลื่อนไปถึงระดับ 20 แล้ว!]

งดวงตาเฉินชาเปล่งประกายขึ้นมาทันที!

[1] ภาวะระบายลมหายใจเกิน (Hyperventilation) คือการที่ผู้ป่วยมีอาการหายใจหอบเร็วและลึกอยู่นาน จนทำให้เกิดความผิดปกติของค่าสารเคมีในเลือด ทำให้มีอาการต่างๆ ทางร่างกายติดตามมา อาการดังกล่าว มักสัมพันธ์กับภาวะวิตกกังวล หรือได้รับความกดดันทางจิตใจ ก่อนหน้าที่จะมีอาการ ซึ่งอาการดังกล่าว เกิดขึ้นเป็นครั้งคราว และไม่มีอันตรายถึงแก่ชีวิต หากไม่ได้เกิดจากสาเหตุทางกายอื่นๆ

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ