บทที่ 156 ถ้าฉันเป็นหมอ!
แม้อาการของโจวข้วงเซิงจะเบากว่าหยางจื้อฝูเล็กน้อย ทว่าการเย็บเส้นเลือดยังทำให้เฉินชางต้องใช้เรี่ยวแรงไปมาก
ใช้เวลาไปไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง ในที่สุดก็รักษาเสร็จ เมื่อเฉินชางกำชับข้อควรระวังต่างๆ แล้วจึงกล่าวขึ้นว่า “วันนี้อย่าเพิ่งกลับเลยครับ ทำเรื่องแอดมิทเถอะ พรุ่งนี้เช้าตอนตรวจวอร์ดผมจะดูให้ว่าอาการเป็นยังไง ถ้าอาการมั่นคงแล้วคุณก็ออกจากโรงพยาบาลได้”
ปีนี้โจวข้วงเซิงอายุห้าสิบกว่า แต่ริ้วรอยบนใบหน้ายังมากกว่าชายร่างผอมที่อายุหกสิบกว่าปีเสียอีก ความยากลำบากที่พบเจอทิ้งร่องรอยไว้บนใบหน้า เห็นได้ว่าเขาผ่านชีวิตยากลำบากมาหลายปี
โจวข้วงเซิงลุกขึ้นยืน โค้งตัวให้เฉินชางพลางกล่าวว่า “หมอเฉิน คุณเป็นคนดีจริงๆ บนโลกนี้มีคนดีไม่มากแล้ว…หวังว่าเรื่องในวันนี้…จะไม่ทำให้คุณลำบากนะครับ ไม่งั้นผมคงรู้สึกไม่สบายใจ ผมเป็นแค่ชาวบ้านจนๆ ไม่อยากถ่วงพวกคุณ…”
เฉินชางส่ายหน้าส่งโจวข้วงเซิงออกไป
เมื่อประตูห้องหัตถการเปิดออก ด้านนอกพลันมีคนเข้ามารุมล้อม ตอนนี้หัวหน้าแผนกซ่งยังจะวาดมาดอะไรได้อีก ทำได้เพียงพยายามอธิบายเท่านั้น
เฉินชางพูดกับเด็กชายว่า “เข้ามาเถอะครับ”
เด็กชายเห็นดังนั้นก็รีบเดินเข้าไปทันที นับว่าเป็นเด็กเชื่อฟังคนหนึ่ง
เฉินชางสงสัยจริงๆ ดูผิวเผินแม่ลูกคู่นี้มีความสัมพันธ์ธรรมดา เห็นหนุ่มน้อยสวมเสื้อผ้าคล้ายเด็กเกเรทั้งยังย้อมผมสีม่วงจึงนึกว่าเป็นเด็กดื้อ
เฉินชางพูดขึ้นว่า “ยื่นมือมาครับ”
เด็กชายให้ความร่วมมือมาก ไม่ดื้อแม้แต่น้อย นี่ทำให้เฉินชางสับสนจริงๆ
เดิมทีเขาคิดว่าอีกฝ่ายเป็นทายาทรุ่นสองของเศรษฐีร่ำรวยที่ดื้อด้านคนหนึ่ง อีกทั้งเมื่อครู่ยังเกิดเรื่องเกิดด้านนอก ดูเหมือนทำอะไรไม่คำนึงถึงผลภายหลัง ไม่กลัวกลายเป็นเรื่องใหญ่!
แต่ว่า…เรื่องพวกนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเขา เฉินชางรักษาแผลไปตามลำดับขั้นตอน พบว่าในบาดแผลมีเศษแก้วอยู่จึงถามไปว่า “แผลนี่โดนอะไรมาครับ?”
หลิวรุ่ยยิ้ม “ผมออกไปเที่ยวที่บาร์กับเพื่อนๆ เกิดทะเลาะกันจนทำตัวเองบาดเจ็บน่ะครับ”
เฉินชางชะงัก…
จู่ๆ หลิวรุ่ยก็ถามขึ้นว่า “หมอเฉิน แม่ผมเป็นประธานบริษัทที่มีมูลค่าทางการตลาดหลายพันล้าน ส่วนพ่อผมก็เป็นข้าราชการ เมื่อกี้หัวหน้าแผนกคนนั้นบอกว่าเขาเป็นหัวหน้าฝ่ายกิจการแพทย์ของพวกคุณ ต่อหน้าคนเยอะขนาดนี้ คุณเป็นแค่หมอเล็กๆ คนหนึ่ง ไม่กลัวจริงหรือครับ?”
เฉินชางเงียบไปนานจึงค่อยตอบ “กลัวสิ”
หลิวรุ่ยชะงักไป “กลัว…กลัวแต่คุณก็ยังทำแบบนี้หรือ?”
เฉินชางยิ้ม “เรื่องบางเรื่อง ต่อให้คุณกลัวก็ต้องทำ ถือเป็นบรรทัดฐาน คนบางคนต่อให้คุณเกลียดคุณก็ต้องช่วย ถือเป็นหลักการ สิ่งที่ผมกลัวไม่ใช่พวกเขาแต่เป็นตัวเอง ผมกลัวว่าผมจะเสียความปรารถนาเดิมจนลืมบรรทัดฐานของตนไป”
พูดจบเฉินชางก็ไม่พูดอะไรอีก ทว่าหลิวรุ่ยกลับถูกคำพูดนี้ของเฉินชางทำเอาพูดอะไรไม่ออก เนิ่นนานผ่านไปจึงค่อยทอดถอนใจ
หลิวรุ่ยเงยหน้าถาม “ที่คุณพูดหมายถึงผมสินะครับ? คุณเกลียดคนแบบผม แต่คุณก็ต้องรักษาเพราะคุณเป็นหมอ แบบนี้หรือเปล่าครับ?”
การรักษาของเขาค่อนข้างธรรมดา ใช้เวลาไปไม่ถึงสี่สิบนาทีก็เสร็จ เมื่อเฉินชางรักษาเรียบร้อยแล้วก็มองไปยังหลิวรุ่ย พูดยิ้มๆ ว่า “คุณจะดีจะร้ายก็ไม่เกี่ยวอะไรกับผม แต่ตอนที่คุณนั่งอยู่ในห้องนี้ คุณเป็นคนไข้ของผม”
พูดจบก็เรียกลำดับต่อไป “คนต่อไป!”
……
……
เมื่อเห็นหลิวรุ่ยเดินออกมา เซี่ยงอิ๋งก็รีบเดินเข้าไปหา “เสร็จแล้วหรือ? ไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
หลิวรุ่ยพยักหน้า “ไปเถอะ อย่าก่อเรื่องที่โรงพยาบาลอีกเลย หย่ากันแล้วก็ตัดให้ขาด อย่าทำตัวเป็นภรรยาหลิวเป้ยทั้งวัน จำไว้…แม่เป็นแค่อดีตภรรยา! ผมไม่เข้าใจจริงๆ เงินสำคัญขนาดนั้นเลยหรือ?”
เซี่ยงอิ๋งได้ยินพลันหน้าเปลี่ยนสี “ลูกไม่เข้าใจ…”
หลิวรุ่ยยิ้ม “ใช่แล้ว ผมไม่เข้าใจ ผมยังเด็ก…ไปเถอะ”
หลิวรุ่ยพูดจบก็เดินนำออกไปก่อน
เซี่ยงอิ๋งหน้าเปลี่ยนสี มองไปยังซ่งเฉียง อดพูดไม่ได้ว่า “หัวหน้าแผนกซ่ง รบกวนคุณแล้วค่ะ”
ซ่งเฉียงรีบเปลี่ยนสีหน้า พูดอย่างยิ้มแย้มว่า “ไม่รบกวนเลยครับ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ