เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ นิยาย บท 265

บทที่ 265 ทักษะการเย็บเส้นเอ็นระดับสมบูรณ์ บทความวิจัยพร้อมเสิร์ฟ!

คำถามของเฉินชางทำเอาหวังอี้ซานกับคนอื่นๆ ถึงกับตอบไม่ถูก…

หวังอวี้ซานยิ้มกระอักกระอ่วน “เอ่อ…ตำแหน่งคณะกรรมการบริหารสมาคม ไม่ใช่ผมคนเดียวที่ตัดสินใจเรื่องนี้ได้ ต้องอาศัยการพิจารณาคัดเลือกจากทุกฝ่าย ต้องพิจารณาในสองด้าน ด้านหนึ่งคือในด้านของประสบการณ์กับความทรงคุณวุฒิ อีกด้านหนึ่งคือผลงานวิจัยกับบทความวิชาการทางการแพทย์ ถ้าคุณอยากจะเป็นคณะกรรมการบริหารสมาคม คุณลองพิจารณาเรื่องเขียนบทความวิจัยแล้วเผยแพร่ก็ได้ครับ”

หวังอวี้ซานมองว่าถ้าเฉินชางอยากเป็นคณะกรรมการสมาคมศัลยแพทย์ด้านมือแห่งชนชาติจีน ยังนับว่าเป็นเรื่องที่ยากมากอยู่!

ส่วนถานจงหลินกลับแสดงสีหน้ามึนงง

ผม…ทำไมตอนผมอายุเท่าคุณผมไม่คิดเรื่องนี้ คุณเพิ่งจะอายุเท่าไหร่เอง คุณคิดจะเป็นคณะกรรมการบริหารสมาคมแล้ว…

ความจริงแล้วเฉินชางอยากจะเป็นคณะกรรมการบริหารสมาคมสาขาตงหยาง

ความเข้าใจผิดอันงดงามนี้ทำให้เฉินชางตัดสินใจว่าจะกลับไปตั้งใจเขียนบทความวิจัยออกมา

ส่วนฉางหงเหล่ยกล่าวว่า “เสี่ยวเฉินไม่ต้องกังวลไปนะ ฉันเพิ่งยื่นเสนอหัวข้อวิจัยใหม่ไปเสนอไป ตอนนี้ผลใกล้จะออกมาแล้ว ถึงเวลานั้นฉันจะเพิ่มชื่อคุณไว้ในทีมผู้ร่วมวิจัยด้วย!”

ถานจงหลินชะงัก เขาอยากถามจริงๆ ว่าเพิ่มชื่อเขาด้วยได้มั้ย

เฉินชางพยักหน้า ดูแล้วตำแหน่งคณะกรรมการบริหารสมาคมคงไม่ยากแล้วจริงๆ…

ก่อนหน้านี้หัวหน้าอันหลอกผม…

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เฉินชางคิดใคร่ครวญอย่างลึกซึ้งตลอดทางกลับโรงพยาบาลอันดับสอง

ทันทีที่เขากลับไปถึงโรงพยาบาล ฉินเยว่คนขี้ประจบเดินตรงเข้ามาหาเฉินชางจากด้านหลังอย่างว่องไวราวกับแมวที่กระโจนตัวเข้ามา

เฉินชางไม่พูดไม่จาแต่หัวเราะเยาะออกมา แสดงทีท่าไม่สนใจฉินเยว่ เขาเดินก้าวเท้ายาวๆ ไป แล้วกล่าวทิ้งท้ายว่า “ดูตัวคุณสิ บุคลิกขี้ประจบแบบนี้ อนาคตสดใสแน่…”

เมื่อฉินเยว่เห็นอากัปกิริยาเช่นนี้ เธอก็เร่งฝีเท้าตามไปพลางหัวเราะเยาะ “ชิ! คุณกำลังอิจฉา ถ้าคุณมีทักษะเล่นเปียโนเหมือนสิงอวี่เทพบุตรของฉัน ฉันก็ประจบคุณด้วยเหมือนกัน”

เฉินชางหยุดชะงักทันที เขาหันกลับมาอย่างรวดเร็ว สายตาจับจ้องฉินเยว่ “พูดจริง?”

ฉินเย่วเดินตามก้นเฉินชางมาติดๆ ใครจะไปคิดว่าเฉินชางจะหันขวับกลับมากะทันหันขนาดนั้น ทำเอาหน้าเธอแทบจะชนเข้ากับหน้าอกของเฉินชาง

ฉินเยว่รีบถอยหนึ่งก้าวทันที กล่าวเสียงเหนื่อยหอบว่า “พูดแล้วไม่คืนคำ!”

สีหน้าของเฉินชางดูพึงพอใจ ค่อนข้างใจเต้นแรง ครุ่นคิดว่าจะลงมืออย่างไรดี

ฉินเยว่เดินตามเฉินชางเข้าไปในห้องเปลี่ยนเสื้อ ถามขึ้นว่า “อ้อ จริงด้วย วันนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เล่าให้ฟังเร็วเข้า เกิดเรื่องใหญ่โตเลยใช่มั้ย”

เฉินชางถอนหายใจออกมาด้วยความเบื่อหน่าย “คุณต้องขอบคุณผมงามๆ วันนี้ถ้าไม่ใช่เพราะผมคนแซ่เฉินคนนี้ ชั่วชีวิตนี้เทพบุตรนักเปียโนของคุณอย่าได้คิดจะเล่นเปียโนอีกเลย”

ฉินเยว่กลอกตามองบน “คุณนี่ขี้โม้จริงๆ คุณไม่เห็นข่าวหรือไง ข่าวประกาศออกมาแล้วว่าการผ่าตัดของสิงอวี่ราบรื่นมาก แพทย์ผู้เชี่ยวชาญลงความเห็นว่าไม่ส่งผลกระทบกับการเล่นเปียโน แต่วันข้างหน้ายังจำเป็นต้องเข้ารับการฟื้นฟูสมรรถภาพมือระยะหนึ่งก่อน ฉะนั้นในช่วงนี้ต้องงดการแสดงเปียโนทั้งหมด…

…ทีมแพทย์ที่ผ่าตัดในวันนี้เรียกได้ว่าเป็นการรวมตัวของผู้เชี่ยวชาญระดับปรมาจารย์เชียวนะ มีผู้อำนวยการหวังจากโรงพยาบาลหมัวตูซื่อลิ่ว มีหัวหน้าถานจงหลิน มีหัวหน้าฉางหงเหล่ย ทุกคนเป็นผู้มีชื่อเสียงโด่งดังในแวดวงศัลยแพทย์มือกันนั้น มิน่าเล่าการผ่าตัดถึงได้ราบรื่นขนาดนี้!…

…ผู้เชี่ยวชาญเยอะขนาดนี้ เฉินชาง ฉันเดาว่าแม้แต่หน้าสิงอวี่คุณก็ไม่ได้เห็นมั้ย คุณเป็นเหมือนคนที่เดินผ่านแถวนั้นเท่านั้นเอง….”

เฉินชางถอนหายใจออกมา ใช่ แต่ไหนๆ ก็ไปถึงที่แล้ว คนพวกนั้นเป็นผู้ช่วยผมระหว่างผ่าตัดด้วยซ้ำ ผู้หญิงหนอผู้หญิง เชื่ออะไรง่ายจริงเชียว แค่ได้ยินจากข่าวก็เชื่อแล้ว! แถมยังเป็นข่าวบันเทิงอีกต่างหาก!

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เฉินชางก็ส่ายหน้า “เฮ้อ ฉินเยว่หนอฉินเยว่ ผมพบว่าการมีตัวมีตนของคุณช่วยพิสูจน์คำพูดหนึ่งได้ว่าเป็นความคิดที่ผิด!”

ฉินเยว่หันมามองด้วยสีหน้าสงสัย “หมายความว่าไง”

เฉินชางสวมชุดกาวน์ ยืดตัวตรงกล่าวทิ้งท้าย แล้วเดินออกไปจากห้องเปลี่ยนเสื้อไป “นมโตสมองกลวง!”

ช่วงบ่ายเฉินชางเย็บเส้นเอ็นไปสองสามเคส เขารู้สึกได้ว่าสายตาที่ฉินเยว่มองตนแฝงไว้ด้วยเจตนาร้ายกับความคิดที่อยากจะสังหารตน…อย่างชัดเจน!

มองเสียจนเฉินชางรู้สึกหวาดผวาใจคอไม่ดี!

จนกระทั่งหลังจากที่เลิกงานแล้ว เพื่อที่ป้องกันไม่ให้ฉินเยว่ลอบแทงข้างหลัง แล้วก็เพื่อความปลอดภัยในชีวิต เฉินชางจำใจต้องเลี้ยงเนื้อตุ๋นสมุนไพรฉินเยว่อีกมื้อ

อย่าถามว่าเย็บเส้นเอ็นไปเมื่อช่วงบ่าย แล้วตกเย็นทานเมนูเนื้อตุ๋นสมุนที่มีเครื่องในเป็นส่วนประกอบแล้วรสชาติจะไม่ต่างไปจากเดิมหรือ คำตอบคือไม่เลย กินอร่อยมาก ขาดอย่างเดียวคือติดฟัน

แต่เฉินชางไม่กล้าบอกให้ฉินเยว่รู้ ในกรณีที่บอกฉินเยว่ไปว่าฟันตนไม่ค่อยแข็งแรง ฉินเยว่จะต้องบอกตนว่าเป็นสัญญาณของโรคไตพร่องแน่ (เป็นโรคที่ส่งผลต่อสมรรถภาพทางเพศ)

หลังจากกินจนอิ่มหนำสำราญแล้วก็ตบท้ายด้วยชานมอี้ฟางหนึ่งแก้ว แล้วยัยฉินตัวร้ายก็อารมณ์ดีจนกลายร่างกลับมาเป็นยัยฉินขี้ประจบคนเดิม

จะต้องกล่าวว่าความสามารถในการฟื้นฟูตนเองของฉินเยว่แข็งแกร่งมาก ถึงแม้ปกติจะขี้บ่น ขี้โมโห แต่…ชานมหนึ่งแก้วจัดการเธอได้อยู่หมัด และที่ห้ามขาดเด็ดขาดก็คือเมนูหม้อไฟสักมื้อ

ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามแต่ กล่าวโดยสรุปได้ว่า แม่สาวน้อยคนนี้นิสัยดีไม่เลวเลยจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เธอเป็นคนหนักเบาเอาสู้ คอยติดตามเฉินชาง นับว่าเป็นงานที่ลำบากไม่น้อย

แถมยังทำงานหามรุ่งหามค่ำทุกวี่ทุกวัน ช่วงเช้าผ่าตัด ตกเย็นทำโอทีเพื่อทำวิจัยต่อ

ดังนั้นเฉินชางก็เลยมองว่าการเลี้ยงข้าวฉินเยว่เป็นเรื่องที่ขาดไม่ได้ ทุกวันติดตามตนไปผ่าตัดตั้งหลายเคสขนาดนั้น อย่าว่าแต่เลี้ยงข้าวหนึ่งมื้อเลย เลี้ยงข้าวทุกวันเลยยังได้

แล้วอีกอย่าง ฐานะทางการเงินของเฉินชางในปัจจุบันนี้ก็ดีมากแล้วด้วย ในระยะเวลาหนึ่งเดือนมีเคสศัลยกรรมเสริมหน้าอกสามเคส บวกกับเคสออกแบบศัลยกรรมตกแต่งอีกสองสามเคส รวมทั้งหมดแล้วได้มาสามล้านกว่าหยวน

จะต้องกล่าวว่าลูกค้าศัลยกรรมที่มีเงินน่ะมี แต่ก็ไม่ได้มีลูกค้าที่มีเงินหลายรายขนาดนั้น ความฝันที่จะร่ำรวยจากเคสศัลยกรรมเสริมหน้าอกของเฉินชางจึงเป็นอันต้องดับสูญ เขาต้องหารายได้จากเคสอื่นด้วย

ช่วงนี้ค่อนข้างยุ่ง เฉินชางยังไม่มีเวลาไปดูบ้าน อีกสองวันก็จะถึงวันชาติแล้ว เฉินชางวางแผนไว้ว่าจะพาพ่อแม่ไปดูบ้านด้วยกัน

ถึงอย่างไรเสีย…สำหรับผู้สูงอายุแล้ว การซื้อบ้านในเมืองเป็นเรื่องที่เป็นเกียรติแก่ครอบครัวมาก

โดยเฉพาะเฉินต้าไห่ พ่อของเขาที่มีนิสัยช่างพูดช่างคุย หลังจากที่เฉินชางกลับไปที่บ้านเกิดแล้ว พ่อของเฉินชางจะต้องซื้อเหล้าขาวมาเตรียมไว้ ทำกับข้าวสามอย่าง เรียกเพื่อนสองสามคนมาที่บ้าน กินไปโม้ไป อยากจะป่าวประกาศให้ทุกคนในหมู่บ้านรู้ว่าลูกชายเขาซื้อบ้านใหม่ในเมือง

แน่นอนว่าหลังจากที่ซื้อบ้านแล้วก็ไม่แน่ว่าพ่อแม่จะยอมมาอยู่กับตนหรือไม่ เพราะถึงอย่างไรเสียทั้งสองก็อยู่ที่บ้านหลังนั้นมาชั่วชีวิตแล้ว อีกทั้งยังเคยชินแล้วด้วย ในหมู่บ้านมีแต่คนกันเองทั้งนั้น พ่อแม่เคยชินกับการแวะไปคุยกับเพื่อนบ้าน และด้วยความเป็นพ่อครัวของหมู่บ้านของเฉินต้าไห่ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ไม่มีทางจากบ้านหลังเก่านี้ไป เขาชอบการตระเวนไปทำอาหารตามบ้านต่างๆ ในหมู่บ้าน วันนี้บ้านนี้มีงานก็ไป พรุ่งนี้บ้านหลังนั้นเชิญไปก็ไป เฉินต้าไห่ใช้ชีวิตเต็มเปี่ยมด้วยความสุข

คนสูงอายุได้รับความเคารพนับถือจากผู้คน นับเป็นเรื่องของศักดิ์ศรี อยู่ในเมืองก็ไม่สุขกายสบายใจเท่าอยู่ที่บ้านหลังเก่า

ถึงอย่างไรเสียสิ่งที่สำคัญที่สุดยังคงเป็นความสุขกายสบายใจของตนเองกับความรู้สึกของการได้รับความเคารพและเป็นที่ต้องการของทุกคน เป็นความรู้สึกที่มนุษย์ต้องการ

หลังจากที่เดินออกมาจากย่านธุรกิจการค้าเทียนเจียแล้ว ฉินเยว่ดื่มชานมแล้วก็ถอนหายใจออกมา “เฉินชาง นี่ก็หนึ่งเดือนแล้ว คุณมีแนวคิดอะไรบ้างหรือยัง ฮาร์ดไดร์ฟที่เราซื้อมาเพิ่มสามอันหน่วยความจำจะเต็มหมดแล้ว ข้อมูลสถิติที่วางกองอยู่บนเตียงนอนฉันจะสูงเป็นภูเขาแล้ว!…

…ถ้าคุณยังคิดทิศทางการวิจัยไม่ออกอีก ช่วงระยะเวลาที่เราลำบากลำบนมาก็คงจะเหนื่อยเปล่าแล้วจริงๆ ฉันเสียเงินค่ามาส์กบำรุงผิวหน้าไปหลายร้อนหยวนแล้วนะ!”

เฉินชางหัวเราะ “ใกล้แล้ว อีกไม่กี่วัน พวกเราก็ได้บทความวิจัยที่ยอดเยี่ยมกันแล้ว! ผมจะใส่ชื่อคุณเป็นผู้จัดทำชื่อแรกเลย!”

ฉินเยว่กลอกตามองบนใส่เฉินชางหนึ่งที “คุณอย่าคิดจะถามหาความเห็นจากอาจารย์ฉันนะ อาจารย์ฉันไม่รู้จักคนที่อยู่ในแวดวงวารศัลยกรรมมือ”

……

หลังจากที่ส่งฉินเยว่ที่ใต้ตึกที่อยู่อาศัยสำหรับบุคลากรของโรงพยาบาลแล้ว เฉินชางก็กลับบ้านเลย โดยที่ไม่รู้เลยว่าหน้าต่างชั้นสิบหก มีชายสูงวัยจ้องมองเฉินชางจากด้านหลังด้วยใจที่คิดคาดเดาไปต่างๆ นานาอยู่นาน

“เหล่าฉินยืนทำอะไรอยู่ที่หน้าต่าง”

ฉินเสี้ยวยวนถอนหายใจ “ชมวิวน่ะ!”

ความจริงแล้วเขาชมวิวที่ไหนกัน แต่กำลังดูคนที่อาจจะ…อาจะเป็นลูกเขยในอนาคต!

เมื่อเห็นว่าระยะนี้ลูกสาวดูใจลอย จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เหล่าฉินก็รู้สึกเศร้าใจ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ