สรุปตอน บทที่ 371 ไม่มีเครื่องมือแล้วพวกคุณจะตรวจโรคได้หรือเปล่า – จากเรื่อง เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ โดย Internet
ตอน บทที่ 371 ไม่มีเครื่องมือแล้วพวกคุณจะตรวจโรคได้หรือเปล่า ของนิยายSlice of Lifeเรื่องดัง เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง
บทที่ 371 ไม่มีเครื่องมือแล้วพวกคุณจะตรวจโรคได้หรือเปล่า
ไม่นานอู๋อวี้ซู่ก็ได้เตียงสิบเก้าของแผนกศัลยกรรมหัวใจ หมอที่เป็นผู้ดูแลก็คือจางเหวินฟู่ หมอระดับแพทย์เจ้าของไข้ที่มีอายุงานสูงคนหนึ่ง
เถามี่ตั้งใจใช้ผู้ป่วยคนนี้เป็นเคสตัวอย่างในการเรียนการสอน
นักศึกษาไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับโรคเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบแบบบีบรัด ผู้ป่วยที่มารักษาตัวในแผนกศัลยกรรมหัวใจส่วนใหญ่จะมีอาการป่วยเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือด หรือไม่ก็เป็นอาการเกี่ยวกับลิ้นหัวใจ ซึ่งอาการเรื้อรังของโรคเหล่านี้ทำให้เกิดโรคเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบแบบบีบรัดได้น้อยมาก ดังนั้นเมื่อเถามี่คิดดูแล้วจึงตัดสินใจสอนนักเรียนในขณะตรวจเยี่ยมผู้ป่วยสักครั้ง
……
นักศึกษาแพทย์ต่อยอด (fellowship) ที่เดินอยู่ข้างกายเฉียนหลินมองผู้ป่วยด้วยความสงสัย เขาหยิบกระดาษและปากกาออกมา เริ่มจดบันทึก
การสอนงานคลินิกคือการบ่มเพาะความสามารถและความคิดเกี่ยวกับการวินิจฉัยและการรักษาอาการป่วยประเภทใดประเภทหนึ่ง
เมื่อหมอและนักศึกษาแพทย์ต่อยอดเข้ามาล้อมวงกันเรียบร้อยแล้ว จางเหวินฟู่ก็ยืนตรงหน้าผู้ป่วยแล้วสอบถามประวัติอาการ
จางเหวินฟู่รู้สึกเครียดเล็กน้อย!
เมื่อก่อนหากจะทำการสอนขณะตรวจเยี่ยมผู้ป่วยจะต้องเตรียมสคริปต์ไว้ก่อน ซึ่งเขาก็ท่องสภาพอาการของผู้ป่วยจนขึ้นใจแล้ว แต่ครั้งนี้เป็นการสอนกะทันหันจริงๆ ไม่ว่าใครก็ต้องรู้สึกตื่นเต้นกันทั้งนั้น นอกจากนี้ ตัวอย่างผู้ป่วยก็เป็นโรคเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบแบบบีบรัดที่หาได้ยากยิ่งอีกด้วย
เมื่อคิดถึงตรงนี้ จางเหวินฟู่ก็พึมพำออกมา อย่าทำตัวเองขายหน้าเชียว…
ที่ยืนอยู่หลังตนคือหมอทั้งแผนกและนักศึกษาแพทย์อีกกลุ่มหนึ่ง…ที่สำคัญที่สุดก็คือ หัวหน้าเถามี่กำลังจ้องมองตนอยู่ด้านหลัง
ถ้าหาก…ล้มเหลว อาจกลายเป็นโศกนาฏกรรมได้เลย!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ จางเหวินฟู่ก็เริ่มถามอาการอย่างละเอียด
ไม่กล่าวไม่ได้ว่าจางเหวินฟู่เป็นหมอที่มีประสบการณ์มากจริงๆ เขาถามข้อมูลของผู้ป่วยอย่างครบครันทุกด้าน ไม่นานก็ได้เบาะแสบางอย่าง
แต่ว่า! หลังจากสอบถามอาการและประวัติการเจ็บป่วยเสร็จแล้ว จางเหวินฟู่ก็ยิ่งกังวล…เพราะอาการเช่นนี้เหมือนโรค COPD (โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง) มากกว่า!
จางเหวินฟู่รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมาแล้ว หากจะใช้การตรวจร่างกายเบื้องต้นเพียงอย่างเดียวมาวินิจฉัยโรคเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบแบบบีบรัดย่อมเป็นเรื่องที่ยากมากๆ และเป็นการทดสอบความรู้ความเข้าใจของแพทย์ที่มีต่อโรคนี้ได้ดีอีกด้วย
เป็นไปได้ไหมว่า…หมอแผนกฉุกเฉินวินิจฉัยผิด
เมื่อคิดถึงตรงนี้ จางเหวินฟู่ก็ดวงตาเปล่งประกาย ถึงอย่างไรกรณีเช่นนี้ในทางคลินิกก็หาได้น้อย แผนกฉุกเฉินก็ทำเรื่องย้ายแผนกมาแล้ว ยังไม่ได้วินิจฉัยให้ชัดเจนว่าเป็นอะไรกันแน่ แต่ถึงอย่างไรหมอแผนกฉุกเฉินก็โทรมาหาหัวหน้าแผนกโดยตรง ถ้าเช่นนั้นก็ควรแน่ใจแล้วว่าเป็นโรคเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบแบบบีบรัด!
ช่างเถอะ ถ้างั้นก็สอนโดยคิดว่าเป็นโรคเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบแบบบีดรัดแล้วกัน
ในสมองของเขาปรากฏข้อมูลและลักษณะอาการทั้งหมดเกี่ยวกับโรคเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบแบบบีบรัดขึ้นมา เมื่อตัดสินใจแล้วก็ดำเนินการตามที่คิดไปทีละขั้น
ถอยหลังกลับไม่ได้แล้ว แต่จะถือโอกาสตามน้ำไปไม่ได้เชียวหรือ
เมื่อคิดถึงตรงนี้ จางเหวินฟู่ก็หยิบหูฟังแพทย์ขึ้นมาฟังหัวใจผู้ป่วย อืม เสียงหัวใจผิดปกติจริงๆ
จากนั้นก็ใช้การเคาะเพื่อตรวจบริเวณหัวใจ ดูเหมือนไม่ถูกต้องเช่นกัน อืม ขอบเขตเสียงสะท้อนกลับใหญ่เกินไป!
จากนั้นก็ตรวจร่างกายต่างๆ นานา…จนสุดท้ายจางเหวินฟู่ก็เหมือนมองเห็นแสงสว่าง นี่คงจะเป็นโรคเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบแบบบีบรัดจริงๆ!
ในตอนนี้เขารู้สึกนับถือหมอแผนกฉุกเฉินคนนั้นจริงๆ แล้ว
เขาตรวจโดยที่คิดว่าผู้ป่วยเป็นโรคเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบแบบบีบรัด แม้กระนั้นก็ยังลำบาก แต่หมอที่ตรวจก่อนหน้านี้ล่ะ กว่าจะวินิจฉัยออกมาได้จะลำบากขนาดไหนกัน
คิดได้ดังนี้ จางเหวินฟู่ก็เกิดสงสัยขึ้นมาแล้วว่าผู้ยอดเยี่ยมคนนี้เป็นใครกันแน่
หรือจะเป็นหัวหน้าแผนกหลี่เป่าซาน
จางเหวินฟู่ถามอย่างสงสัยว่า “คุณทราบไหมครับว่าก่อนหน้านี้ตัวเองป่วยเป็นอะไร”
ไม่ใช่แค่จางเหวินฟู่ ทุกคนที่อยู่รอบๆ ก็ย้อนคิดเช่นกัน
บางทีอาจจะได้ละมั้ง…
เถามี่มีสีหน้าเคร่งเครียด กล่าวอย่างจริงจังว่า “ในฐานะที่เป็นหมอ ถ้าพวกคุณต้องไปทำงานที่โรงพยาบาลรากหญ้าหรือชนบท ไม่ต้องพูดถึงพวก CT Scan หรือ NMR เลย แม้แต่การเอกซเรย์หรือการอัลตร้าซาวด์ที่เป็นพื้นฐาน หรือกระทั่งเครื่องวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจก็ยังไม่มีให้ ในกรณีนี้ถ้ามีผู้ป่วยมา แล้วคุณมีแค่เครื่องวัดความดันโลหิตและหูฟังแพทย์ พวกคุณจะวินิจฉัยออกมาได้หรือเปล่า จะให้คำตอบที่แม่นยำกับผู้ป่วยได้หรือเปล่า”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ เถามี่ก็รู้สึกผิดหวัง
ปัจจุบัน หมอหลายคนเสียความสามารถในการไตร่ตรองอาการด้วยตัวเองไปแล้ว ได้แต่อาศัยเครื่องจักรและการตรวจทางแล็บมาพิจารณาอาการผู้ป่วย การตรวจเช่นนี้มีใครทำไม่ได้บ้างล่ะ
“ผมไม่ได้จะบอกว่าทุกคนไม่ดีพอนะครับ ผมแค่คิดว่าหมอทุกคน ในเมื่อต้องทำงานทางคลินิกก็ควรปรับปรุงตัวเองให้สมบูรณ์แบบสักหน่อย การตรวจแล็บและพวกเครื่องมือเครื่องจักรเป็นเรื่องดี มันช่วยให้พวกเราตรวจสอบและวินิจฉัยอาการได้ชัดเจนยิ่งขึ้น แต่พวกคุณต้องไม่ลืมพื้นฐานทางคลินิกนะครับ ไม่งั้นผู้ป่วยคงหัวเราะเยาะพวกเราแน่ ถ้าไม่มีอุปกรณ์พวกนี้พวกคุณจะตรวจยังไง”
ในตอนที่พูดประโยคสุดท้าย เสียงของเถามี่ก็ดังก้อง!
ในสมองของทุกคนมีคำพูดประโยคนี้วนเวียนไปมาซ้ำๆ เนิ่นนานผ่านไปก็ยังไม่หาย
“ถ้าไม่มีอุปกรณ์พวกนี้ พวกคุณจะตรวจโรคได้หรือเปล่า”
หมอแต่ละคนกำหมัด ประโยคนี้เหมือนกับเข็มที่ทิ่มแทงเข้ามาในใจของพวกเขา
ในห้องพักหมอเงียบสงัด
เถามี่มองไปรอบๆ จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “ตั้งแต่อาทิตย์หน้าเป็นต้นไป พวกเราจะราวด์วอร์ดเล็กๆ อาทิตย์ละครั้งเพื่อทบทวนความรู้โดยเริ่มจากการฟังเสียงหัวใจเพื่อวินิจฉัยโรค ผมต้องการให้พวกคุณจำเสียงหัวใจของอาการแต่ละอย่างให้ได้! การฟังเสียงบอกอะไรพวกเราได้มากมาย ของพวกนี้เป็นประสบการณ์ทั้งนั้น พวกคุณลองดูตัวเองตอนนี้สิ มีใครบ้างที่เอาแต่เชื่ออุปกรณ์ บางคนไปราวด์วอร์ดยังไม่หยิบหูฟังแพทย์ไปด้วยซ้ำ สภาพของพวกคุณดูเหมือนศัลยแพทย์หรือเปล่า”
พูดจบเถามี่ก็ทำหน้าขรึม “เอาละ แยกย้ายได้!”
จากนั้นก็เดินออกไปไม่สนใจทุกคนอีก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ